วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

กินปุ๊บ วิ่งเข้าห้องน้ำปั๊บ 4 สูตรน้ำดีท็อกซ์ล้างลําไส้ ทำติดกัน 3 วัน น้ำหนักลด พุงยุบแน่นอน


เดี๋ยวนี้การดีท็อกซ์ลำไส้ไม่จำป็นต้องไปถึงโรงพยาบาลแล้วคะ เพราะเราก็สามารถดีท็อกซ์ลำไส้ด้วยด้วยตัวเองได้ที่บ้านเลย ด้วยสูตรเครื่องดื่มดีท็อกล้างลำไส้ที่เราก็ทำเองได้ง่าย ๆ แถมประหยัดตังค์กว่าไปทำที่โรงพยาบาลเป็นไหน ๆ ลองทำติดต่อกัน 3 วัน ผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้คุณถ่ายคล่อง พุงยุบ เริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างมั่นใจเพราะพุงยุบใส่ชุดอะไรก็สวย และที่สำคัญผิวพรรณจะสดใสขึ้นด้วย

สูตรที่ 1 โยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว
ผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย, นมสดรสจืด 100% 1 กล่อง, น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และน้ำมะนาวครึ่งลูก คนให้เข้ากับแล้วดื่มทันที ห้ามวางแช่ทิ้งไว้ ถ้าดื่มก่อน 7 โมงเช้าจะดีมาก สูตรนี้ช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงาน เมื่อเราถ่ายคล่อง พุงก็ยุบตามไปด้วย ใส่ชุดไหนก็มันใจละวันนี้
สูตรที่ 2 นมสด + กล้วยน้ำหว้า
สูตรนี้ใช้นมสด 2 กล่อง (รวมปริมาณประมาณ 500 มิลลิลิตร) กินพร้อมกับกล้วยน้ำหว้า 2 ผล หรือจะเอาไปปั่นรวมกันแล้วดื่มก็ได้ ดื่มตอนท้องว่างหลังตื่น ดื่มก่อน 6 โมงเช้าได้ยิ่งดี เพราะเราจะได้ถ่ายก่อน 7 โมงเช้า สูตรนี้ก็จะไปกระตุ้นให้ถ่ายออกมา แนะนำให้ทำติดต่อกัน 3 วัน จะช่วยให้เราขับถ่ายเป็นเวลาด้วย
สูตรที่ 3 น้ำเปล่า + เม็ดแมงลัก
สูตรนี้ง่าย ๆ เลย แค่เตรียมน้ำร้อน 1 แก้ว ใส่เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา รอ 30 นาทีให้เม็ดแมงลักพองตัวเต็มทีก่อนแล้วค่อยดื่ม สูตรนี้แนะนำให้ดื่มก่อนนอน เม็ดแมงลักจะมีใยอาหารสูงและมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ จึงช่วยในการลากอุจจาระที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารออกมาได้อย่างดีเลยทีเดียว ตื่นเช้ามาถ่ายคล่อง สบายพุง เบาตัวไปอีก
สูตรที่ 4 น้ำเปล่า 1 ลิตร + มะนาว 2 ลูก + เกลือ 2 ช้อนชา
ใครจะทำสูตรนี้แนะนำว่าให้ทำวันหยุด เพราะทำสูตรนี้แล้วคุณจะถ่ายแบบไม่เป็นเวลาเลยทีเดียว เตรียมน้ำเปล่า 1 ลิตร บีบน้ำมะนาว 2 ลูก แล้วตามด้วยเกลือ 2 ช้อนชา และเขย่าให้เข้ากัน พยายามดื่มให้หมดภายใน 10-20 นาที พอดื่มหมดขวดแล้วสักพักคุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำทันที สูตรนี้จะช่วยให้คุณถ่ายแบบหมดลำไส้จริง ๆ เหมือนช่วยผลักของเก่าที่มีอยู่ออกมาจนหมด สบายพุงแน่นอน แต่สูตรนี้แนะนำให้ทำอาทิตย์ละครั้งพอนะคะ ทำทุกวันไม่ไหวจริง ๆ
ทั้ง 4 สูตรที่เอามาฝากนี้เลือกทำกันตามความชอบเลย ถ้าอยากให้เห็นผลแบบจริง ๆ สิ่งสำคัญเลยคือต้องมีวินัย ทำให้ครบต่อกัน 3 วัน น้ำหนักคุณจะลดลง ถ่ายคล่อง สบายพุงแน่นอน
ที่มา : cosmenet

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558

【ปรัชญาความสุขของอาจารย์ Mizuki Shigeru】


อาจารย์ Mizuki Shigeru คือผู้วาดการ์ตูน “อสูรน้อยคิทาโร่” อันโด่งดัง
ท่านรักการวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก
ตอนอายุ 13 ปี ทางโรงเรียนถึงกับจัดนิทรรศการภาพสีน้ำมันของ
เด็กชาย Mizuki ให้โดยเฉพาะ
เนื่องจากท่านมีความสามารถโดดเด่นมาก

ตอนอายุ 18 ท่านถูกเกณฑ์ทหารให้ไปรบในต่างแดน
จนเผชิญกับความตายอยู่หลายครั้ง
ทั้งไข้ป่ามาเลเรีย และระเบิดสงคราม
...ที่ทำให้ท่านเสียแขนซ้ายไปตลอดกาล

การสูญเสียแขนก็ไม่เป็นอุปสรรคในการทำสิ่งที่รักแต่อย่างใด
เมื่อกลับมาญี่ปุ่น
ท่านทำงานเป็นนักวาดการ์ตูน

กว่าจะวาดการ์ตูนที่ขายได้ ก็เมื่ออายุเข้าวัย 40 แล้ว
แต่อาจารย์ก็ไม่เคยบ่นหรือโทษโชคชะตาเลย
ท่านยังเป็น Mizuki เซ็นเซผู้อารมณ์ดี
ที่มักทำให้นักข่าวยิ้มเสมอ

ท่านมีเคล็ดลับในการ "สนุก" กับชีวิตดังต่อไปนี้ค่ะ

【1. อย่ายึดการแพ้ชนะ ความสำเร็จ
หรือชื่อเสียงเป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน】

ความสุขเกิดจากการได้ดื่มด่ำและทำในสิ่งที่รัก
หากมัวแต่กังวลเรื่องชื่อเสียงความสำเร็จ
เราก็จะลืมความสุขจากการดื่มด่ำในงานที่เรารักนั้น

ส่วนความสำเร็จจะเกิดขึ้นหรือไม่ เป็นเรื่องของจังหวะชีวิต

【2. ทำสิ่งที่ “อดไม่ทำไม่ได้”】
หาสิ่งที่รักให้เจอ
จะเป็นการเล่นเกม อ่านการ์ตูน อะไรก็ได้
และอย่าลืมทำสิ่งนั้น ทำเป็นงานอดิเรกก็ได้
เราจะได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานและมีความสุข

【3. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น
จงคิดว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองสนุกกับชีวิต】

ลืมๆ เรื่องของคนอื่นหรือสายตาคนรอบข้างไปได้
ชีวิตจะสนุกขึ้นอีกเยอะ

【4. เชื่อมั่นในพลังของการรักในสิ่งทีทำ】
ท่านวาดการ์ตูนมานานเกือบ 30 ปี
กว่าจะกลายเป็นนักวาดการ์ตูนขายดีได้

ความเชื่อมั่นและความรักในสิ่งที่ทำนี้เอง
ที่ทำให้ท่านประสบความสำเร็

【5. ความสามารถกับรายได้ เป็นเรื่องคนละเรื่อง
และรำลึกไว้ว่า ความมานะพยายาม ก็อาจหักหลังเราได้เช่นกัน】

ไม่ใช่ว่า หากมีความสามารถหรือขยันแล้
จะมีรายได้สูงเสมอไป

การมุมานะพยายามฝึกปรือจนเกิดทักษะต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญ
แต่ต้องเผื่อใจไว้ด้วย เวลาผิดพลาดอะไร
จะได้ไม่รู้สึกเหมือนโลกนี้พังทลาย

【6. จงขี้เกียจบ้าง】
รู้จักพักบ้าง อย่ามุมานะทำงานหนักจนเกินไ
เดี๋ยวชีวิตจะไม่สนุก

【7. เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา】

เชื่อมั่นในความสัมพันธ์กับผู้อื่น
พลังของคำพูด อารมณ์ความรู้สึก
และสิ่งที่ทำให้จิตใจเรางดงาม

"ผมไม่ได้มุ่งมั่นที่จะมีอายุยืน
แต่ผมมุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตให้สนุกและเต็มที่"

อาจารย์ Mizuki สนุกและสุขกับชีวิตท่านจนถึงวัย 93 ปีค่ะ ....

+++++++++++++++++++++++++++++++

Japan Gossip by เกตุวดี Marumura

เขียนเพื่อรำลึกการจากไปของอาจารย์ Mizuki ในวัย 93 ปี
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2015

จากหนังสือเรื่อง 「幸福になるための7ヶ条 」

Cr Photo: http://kotaku.com/5988267/one-of-japans-greatest-and-oldest-manga-artists-eating-a-mcdonalds-hamburger

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

" โยเกิร์ต " มีประโยชน์มากมาย ตั้งแต่ทางเข้า(ปาก) จนถึง ทางออก(ทวารหนัก)


" โยเกิร์ต " มีประโยชน์มากมาย
ตั้งแต่ทางเข้า(ปาก) จนถึง ทางออก(ทวารหนัก)

เครดิตตามภาพ

คลินิกจันทน์ ตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน  https://web.facebook.com/ChinMed/photos/a.406980702679395.94120.173757302668404/907062569337870/?type=3&theater

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แชร์สูตร เคล็ดไม่ลับการทำ "โจ๊กหมูสุโขทัย"แสนอร่อยให้อร่อยง่ายได้ที่บ้าน


เมนูอาหารในยามเช้ามักเป็นอะไรที่ง่ายๆแบบทานแล้วอิ่มท้อง หากว่าเป็นเมนูร้อนๆ ที่มีประโยชน์อย่าง "โจ๊กหมูสุโขทัย" ที่เนื้อโจ๊กเข้ากับเนื้อสัมผัสของลูกชิ้นหมูและความกรอบของเครื่องเคียง ที่สำคัญเครื่องยำที่ส่งถึงความแซ่บสะใจ เมนูนี้ครัวทีนิวส์บอกเลยว่าง่ายมากๆ และฟินเวอร์ เรามาลองทำไปพร้อมๆกันเลย!!!
ส่วนประกอบ
1. โจ๊กสำเร็จรูป 1 ถ้วย
2. หมูสับ หมูแดง ลูกชิ้นหมู
3. ถั่วฝักยาวลวกหั่นเฉียง
4. ผักชีไทยสับ 1 ช้อนโต๊ะ
5. ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนโต๊ะ
6. กระเทียมเจียว
7. ไข่มะตูม ครึ่งซีก
8. มะนาว 1 ซีก
9. ถั่วลิสง พริกป่น
10. แผ่นเกี๊ยวกรอบหรือแคบหมู
ขั้นตอนการทำ

1. ใช้โจ๊กสำเร็จรูปรสหมู
2-3. โรยหน้าด้วย หมูสับ หมูแดง ลูกชิ้นหมู และกระเทียมเจียว
4. ตามด้วยผักทั้งหลาย ถั่วฝักยาว ผักชีไทย-ฝรั่ง ใส่ได้ตามใจชอบเลยจ้า
5. ตามมาติดๆ ไข่มะตูมสัก 1 ซีก ปรุงรสแนวยำแซ่บๆด้วยมะนาว พริกป่น ถั่วลิสง
6. ปิดท้ายด้วยเครื่องเคียงของกรอบประเภทเกี๊ยว ปาท่องโก๋เล็ก หรือแคบหมูมากินแกล้มด้วย รับรองฟินสุดๆ

(เมนูนี้แนะนำให้ "ชิมก่อนปรุง" นะจ๊ะ เพราะรสชาติที่แซ่บนัว หอม หวานมันเค็มแอบเปรี้ยวนิดๆกำลังพอดี เพราะตัวโจ๊กสำเร็จรูปมีรสชาติเข้มค้นอยู่แล้ว!)

ขอขอบคุณ ที่มา http://www.doodiza.com/news7955.html

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ขจัดสิวเสี้ยน!! ให้หายไปจากหน้าคุณ ด้วยสูตรลอกสิวเสี้ยนที่ทำได้ด้วยตัวเอง



ก่อนจะมาเขาสู่ขั้นตอนการกำจัดสิวเสี้ยนบนใบหน้านั้น เราขอแนะนำให้คุณเตรียมหน้าให้พร้อมก่อนที่จะลงมือกำจัดสิวเสี้ยน เพื่อให้ได้ผลลัพท์แบบ 100 % ตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. เปิดรูขุมขน ด้วยการใช้ผ้าขนหนูชุบอุ่นๆ แล้วบิดให้หมาด จากนั้นนำมาคลุมหน้าทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที
2. เร่งสิวให้หลุดง่ายๆ นำคลีนซิ่งออยส์ไปผสมกับเกลือขัดผิว จากนั้นนำไปทาลงบนใบหน้า หรือบริเวณที่ต้องการกำจัดสิวออก แล้วนวดเบาๆสักประมาณ 2-3 นาที จากนั้นล้างน้ำออก
3. พอกหน้า นำเอาน้ำตาลทรายไปผสมกับโยเกิร์ตให้ได้ครีมพอกหน้าแบบข้นๆ แล้วนำมาพอกหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอีกที แล้วเช็ดหน้าให้แห้ง

เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนกำจัดสิวเสี้ยนอย่างเป็นทางการ ซึ่งสามารถเลือกทำตามสูตรด้านล่าง สะดวกสูตรไหนก็เลือกทำได้เลยค่ะ
สูตรที่ 1 ไข่ขาว + น้ำผึ้ง + น้ำมะนาว + กระดาษซับมัน เพียงแค่นำเอาไข่ขาวไปผสมให้เข้ากันกับน้ำผึ้งและน้ำมะนาว เมื่อได้แล้วก็นำมาทาให้ทั่วหน้ายกเว้นปากและขอบตา จากนั้นนำกระดาษซับมันมาแปะลงบริเวณที่ทาไข่ขาว จากนั้นก็ทิ้งไว้จนแห้ง แล้วค่อยๆลอกออก ให้ลองสังเกตุดูว่าสิวเสี้ยนจะหลุดออกมากับกระดาษซับมันเป็นจำนวนมากค่ะ
สูตรที่ 2 ผงเจลาติน หรือ แผ่นเจลาติน + นมสด เพียงแค่นำเอานมสดและผงเจลาตินในสัดส่วนที่เท่ากันผสมลงในถ้วย จากนั้นนำเข้าเตาอบไมโครเวฟโดยใช้เวลาที่ 10 วินาที แล้วปล่อยให้ส่วนผสมหายร้อนสักครู่ อย่าให้เย็นมากจนเกินไปเพราะจะจับตัวเป็นก้อน ประมาณว่าอุ่นๆก็นำมาใช้ได้เลย
หลังจากนั้นก็นำมาทาบริเวณที่ต้องการลอกสิวออก แนะนำว่าทิ้งไว้จนกว่าจะแห้ง แล้วค่อยๆลอกออก เวลาลอกให้ค่อยๆดึงจากคางขึ้นบนนะคะ สุดท้ายก็ลอกออกมาพร้อมๆกับสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้ว่าจะต้องเจอ…ก็สิวเสี้ยนที่คุณอยากกำจัดออกไปจากใบหน้าไงคะ 55 จากนั้นให้ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อปิดรูขุมขนค่ะ

ขอขอบคุณที่มา : http://raksukapap.blogspot.com/2015/08/blog-post_24.html

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

3 สหาย มะขามป้อม แอปเปิลแดง แครอท


   สำหรับผู้ที่รักสุขภาพ ไมีควรพลาด 3 สหาย ได้แก่ มะขามป้อม แอปเปิลแดง แครอท ผักผลไม้ 3 ชนิดนี้ถ้ารับประทานเป็นประจำแล้ว นอกจากจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอแล้ว ยังช่วยให้ผิว รูปร่างดีอีกด้วยง่าย ๆ 

   สำหรับแอปเปิลรับประทานสดไม่ปอกเปลือกวันละ 1 ผลเพื่อสุขภาพ หรือวันละ 2 - 3 ผลเพื่อควบคุมน้ำหนักโดยไม่ขาดสารอาหาร หรือมะขามป้อมวันละ 1 ผล ถ้าราดด้วยน้ำผึ้ง 1 ข้อนชา เพิ่มรสชาติและคุณค่าทางอาหารด้วยเช่นกัน หรือแครอทไม่ว่าจะรับประทานสด หรือน้ำแครอทก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน ยิ่งกว่านั้น ถ้านำ 3 อย่าง คือแอปเปิลแดง มะขามป้อม แครอท นำมาปั่นรวมกัน เติมน้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อมเล็กน้อย น้ำมะนาว เกลือเล็กน้อย ก็เป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพมาก ๆ ค่ะ

   แอปเปิลแดง มีคุณสมบัติช่วยชะลอวัย ลดริ้วรอย ที่ได้จากสารอิลาสตินและคอลลาเจน มีสารแอนตีออกซิเดนท์สูง มีเบต้าแคโรทีน เส้นใยอาหารสูง ช่วยบำรุงหัวใจอย่างดีเยี่ยมค่ะ

   มะขามป้อม อุดมด้วยวิตามินซี สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมอาหาร สามารถรับประทานวันละ 1 ผลโดยไม่ต้องกลัวว่าจะขาดกรดอะมิโนแอซิด ช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดความดันโลหิต ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร มีฤทธิ์ยับยั้งความเป็นพิษต่อตับ รักษาอาการตับอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แก้ไอ ขับเสมหะ แก้ดีซ่าน บำรุงร่างกาย เป็นยาระบาย

   แครอท บำรุงสายตา ป้องกันมะเร็ง เพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบไหลเวียนของโลหิต รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ปรับปรุงระบบย่อยอาหาร ผิวสวยแข็งแรง เพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายเร็ว

แนะนำค่ะ เพื่อสุขภาพที่ดีไม่ควรพลาด

ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaihealth.or.th,www.cm108.com


วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เปลี่ยนมือถือ Android เก่าๆ ให้เป็นกล้องติดรถบันทึกการเดินทาง ด้วย dailyroads


ตอนนี้กล้องติดรถเป็นที่นิยม เห็นมือถือ Android เก่าๆ มี GPS พร้อมขายกก็ไม่ได้ เลยนำมา Modify กลายเป็นกล้องติดรถราคาเกือบ 2000 บาทได้
โดยใช้ โปรแกรม Free ที่ชื่อว่า dailyroads voyager ได้จาก Play Store ของ Google

สิ่งที่ซื้อมีเพียง 1. ขายึดกับกระจกมูลค่า 80 บาท
2. USB Charger 1000 mAh มูลค่า 99 บาท หรือบางคนมีอยู่แล้ว (ไม่แนะนำให้ Charge จาก USB ที่มากับเครื่องเสียง เพราะจ่ายกระแสได้เพียง 500 mAh เท่านั้น)
3. สาย USB Extention ที่ต่อให้ยาวขึ่น อีก 2 เมตร มูลค่า 20 บาท

สิ่งที่ต้องมีมือถือเก่า (หรือใหม่เพราะ Andriod พร้อม GPS + กล้อง 5 ล้านเริ่มต้นที่ 1500 บาท)

คุณสมบัติของโปรแกรมนี้ที่น่าสนใจ
ทำลองใช้บน Android 2.2 ขึ้นไป กับ มือถือเก่า สามารถกำหนด คุณภาพและความละเอียดของ VIDEO ได้
ถ่ายภาพนิ่งขณะ บันทึก วีดีโอได้ บอกความเร็วและเก็บเส้นทางได้หากเปิดระบบ GPS บนมือถือ

- บันทึกทั้งเส้นทาง การเดินทาง แสดงเป็นแผนที่ บน Google MAP โดยไม่ต้องต่อ NET (ดูผ่าน มือถือเท่านั้น)
- ความเร็วการขับขี่ไว้โต้แย้งกับ คนหากินริมทาง ที่ชอบอ้างว่าขับเร็ว โดยการดูด้วยสายตา (ดูผ่าน มือถือเท่านั้น)
- วีดีโอการเดินทาง ทั้งภาพและเสียง เป็น MP4 ดูที่ไหนก็ได้
- มี Mode บันทึกแบบไม่แสดงผลหน้าจอ เพื่อลดแสงสว่างหน้าจอเวลากลางคืน

ตัวอย่าง VIDEO 
Quality : Custom Quality
Resolution 480x320
Encoder : H264
Bitrate : Medium
Frame Rate: Medium
Camera : 5 MP
ตั้งให้ตัดไฟล์ทุกๆ : 5 นาที
ขนาดไฟล์ : 450 MB/Hour
Memory 16 GB บันทึกได้ 36 ชม
*** คุณภาพภาพ ขึ้นอยู่กลับกล้อง และ Quality การบันทึก
*** ความแม่ยำของความเร็วขึ้นอยู่กับ ความเร็วตัวรับสัญญาณ GPS

ที่มา http://www.fortuner-club.com/index.php?topic=73963.0

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สะเต๊ะลือ

วันนี้ทำ........สะเต๊ะลือ.......ตำรับ ม.ล เนื่อง นิลรัตน์ ขอกราบขอบพระคุณ คุณยายเนื่อง นิลรัตน์ไว้ด้วยนะคะ สะเต๊ะลือนี้หอมอร่อยมากค่ะ ในวันนี้ใช้เนื้อไก่นะคะ ส่วนผสมและเครื่องปรุงมีดังนี้ค่ะ
-------------------------------------------------------------------------------------
***ส่วนผสมและเครื่องปรุงนี้ บีกะเอาตามความชอบส่วนตัวนะคะ สำหรับไก่ 1กิโลกรัมค่ะ***
-------------------------------------------------------------------------------------
-เนื้อไก่ ติดหนังนะคะ ชุ่มฉ่ำดี หากไม่ชอบมันก็สันในไก่ค่ะ
-กะทิสด1ถ้วยสำหรับหมักไก่
-ลูกผักชี 2ช.ช
-ยี่หร่า 1ช.ช
-ถั่วลิสงคั่ว 3ช.ต
-หอมแดงหัวเล็ก 8หัว
-ขมิ้นผง 2ช.ช
-นมข้นหวาน3ช.ต
-น้ำปลา 2ช.ต
-น้ำตาลทราย 1ช.ต
-น้ำตาลปึก 1/2ช.ต
-เหล้า 2ช.ต
วิธีทำ นำเครื่องเทศทุกอย่างมาคั่วให้หอม ตำละเอียดพร้อมถ้่วลิสง ป่นละเอียด หอมแดงสับละเอียด ใส่กระทิสดลงไป1ถ้วย เครื่องปรุงอื่นๆทั้งหมดใส่ในเนื้อไก่ เคล้วให้ทั่ว หมักไว้ 1คืนค่ะ เช้ามาเสียบไม้ ย่างเตาถ่านหรือย่างกะทะสำหรับย่างน้ำหมักที่เหลือในถ้วยนำมาพรมไปเรื่อยๆจนไก่สุก หอมเครื่องเทศมากค่ะ อร่อยมันด้วยกะทิและถั่วลิสงป่น เค็มหวานกำลังดี แทบไม่ต้องใช้น้ำจิ้มเลยค่ะ ที่ทำอาจาดและน้ำจิ้มสะเต๊ะเพิ่มเพราะคุณแม่ชอบทานกับขนมปังย่างค่ะ
------------------------------------------------------------------------------------
***สูตรน้ำจิ้มสะเต๊ะ***
------------------------------------------------------------------------------------
-พริกแกง1/2ช.ต
-ถั่วลิสงป่น5ช.ต
-กะทิสด1ถ้วย
-น้ำตาลปี๊ย
-น้ำมะขามเปียก
-เกลือ
-น้ำปลา
-ผงกะหรี่คั่วให้หอม2ช.ช
-น้ำมันพืช2ช.ช
วิธีทำ นำพริกแกงมาผัดในน้ำมัน แล้วค่อยๆใส่กะทิลงไปใส่ถั่วลิสงป่นตามลงไปเคี่ยวไปเรื่อย พอเริ่มข้นใส่เครื่องปรุงลงไปชิมดูรสหวานนำ เค็มตาม เผ็ดเล็กน้อยถูกใจแล้วเคี่ยวต่อไปจนข้นดีแล้วปิดไฟ มาทำอาจาดกันต่อ
-------------------------------------------------------------------------------------
***ส่วนผสมเครื่องปรุงอาจาด***
-------------------------------------------------------------------------------------
-แตงกวา
-หอมแดง
-พริกชี้ฟ้า
-น้ำส้มสายชู
-เกลือ
-น้ำตาล
วิธีทำ ผสมน้ำส้สายชู น้ำตาล เกลือ ตั้งไฟเคี่ยวจนละลาย พักไว้ให้เย็น นำแตงกวาซอย หอมแดงซอย พริกชี้ฟ้า ใส่ลงดองในน้ำส้มนี้รวหวานนำ เปรี้ยวตาม เค็มนิดๆ รับทานแก้เลี่ยนได้ค่ะ


ที่มา  https://web.facebook.com/photo.php?fbid=794470167330740&set=gm.784708014988935&type=3&theater

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

พฤติกรรมการดื่มน้ำ ที่ถูกต้อง



เพื่อนๆคิดว่าสุดยอดของการเป็นหมออยู่ที่ไหนครับ
ในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ

ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ

1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่

2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว

3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น

4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น

5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น

เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของ

ตัวเองหรือยังครับ


ข้อหนึ่งนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ 

น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน


ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่

ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน

น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก

ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ

แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน

ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด

นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว

(แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ

ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

สูตรคือ

(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้

ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ

ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกัน

สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย

บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ

น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ

แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ


ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย

กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะ

และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา

เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้

แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกัน

จนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว


ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไป

จิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ

คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว

เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด

ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร

เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูด

เข้าเส้นเลือด

เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ 

ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร

ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ

ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ

และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ

ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว

อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไร

กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ

ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ

เพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ)

หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว

เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับ

ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้า

เลิกเบียร์กันไป

แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด 

เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ

พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ


นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น

ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น

มีสองเหตุผลครับ

หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึม

สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ

เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน 

สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อย?าหารด้วย

เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี 

เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน


มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ

ทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม 

เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง

ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร

อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ

ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ

พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย

แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย 

รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย

กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ 

เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง


อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ


ครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน555 ว่าไปนั่น 

ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่บอกครับ 

หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ

ที่มา  http://www.oknation.net/blog/print.php?id=516856

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

นอนห้อยหัววันละ 10 นาที ช่วยสมองดี แก่ช้า หน้าใส

*****นอนห้อยหัววันละ 10 นาที ช่วยสมองดี แก่ช้า หน้าใส******

การนอนห้อยหัวสัก 10 นาที ให้ศีรษะได้มีโอกาสอยู่ต่ำกว่าลำตัวบ้าง เพื่อเลือดจะได้ไหลลงไปเลี้ยงสมอง ใบหน้า รู้หรือไม่ว่า คุณประโยชน์ที่จะได้รับ มีมากเหลือคณา ครอบคลุมทั้งภายนอกและภายใน

สมองฉับไว มองโลกในแง่ดี

เพราะเซลล์ต่างๆ ของสมองต้องการเลือดไปหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น การนอนห้อยหัวจึงช่วยเสริมเติมส่วน ทำให้เลือดที่หล่อเลี้ยงร่างกายอยู่แล้วได้มีโอกาสไหลไปตรงศีรษะได้ง่ายขึ้น ซึ่งเมื่อเลือดไหลเวียนดี เนื้อเยื้อสมองเนื้อเยื้อเซลล์ก็ได้รับการบำรุงซ่อมแซมเต็มที่ ระบบต่างๆ ก็ทำงานไหลลื่น ส่งผลให้ความคิดฉับไว เป็นระบบระเบียบ ความจำดีขึ้น ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ไมเกรน เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังลดอาการผมหงอก ผมขาว ช่วยให้สีผมกลับมาเป็นสีปกติ และยังทำให้มีความคิดในแง่บวก มองโลกในแง่ดี เพราะจะไปช่วยกระตุ้นต่อมหมวกไตที่ผลิตฮอร์โมนสำคัญๆ หลายชนิด และส่งผลต่อความรู้สึก ทำให้มีความคิดในแง่บวกมากขึ้น มองโลกในแง่ดีขึ้น แถมลดอาการความเครียดต่างๆ อารมณ์หมองเศร้าอีกด้วย

หน้าเด็ก ผิวใส

เนื่องจากในระหว่างที่เรานอนห้อยหัวเพื่อให้เลือดไหลไปบริเวณศีรษะนั้น นอกจากจะทำให้ใบหน้าได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงมีเลือดฝาด เรายังจะได้รับออกซิเจนและสารอาหารที่ช่วยทำให้ผิวหน้าเปล่งปลั่ง เต่งตึง ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ซึ่งตรงนี้ เราก็สามารถนวดคลึงใบหน้าเบาๆ เพื่อทำให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงได้ดีขึ้น เร่งการสร้างเซลล์ผิวหน้าใหม่ ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัยและยังช่วยในเรื่องของการยกหน้า (Face Lift) เพราะปกติ กล้ามเนื้อใบหน้าของเราจะถูกดึงไปตามกฎของแรงโน้มถ่วงของโลก

ปรับสมดุล ความคุมฮอร์โมน

อย่างที่กล่าวข้างต้นถึงของคุณประโยชน์การนอนห้อยหัวที่มีต่อสมอง และเนื่องจากสมองเป็นแหล่งรวมระบบประสาทและการทำงานต่างๆ ของร่างกาย การนอนห้อยหัวเพื่อให้เลือดไปหล่อเลี้ยงได้ดีขึ้น จึงเป็นการไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดยังต่อมต่างๆ อีกด้วย อาทิเช่น ต่อมใต้สมองและต่อมไฮโปทาลามัส ที่มีความสำคัญต่อร่างกายและเป็นต่อมสำคัญที่จะไปควบคุมการทำงานของต่อมอื่นๆ ในร่างกาย

ป้องกันโรคอัมพาต

เพราะนอกจากจะเป็นการส่งเลือดไปเลี้ยงทำให้ไม่เกิดภาวะสมองขาดเลือดแล้ว การให้เลือดแล่นขึ้นใบหน้าจนแดงก่ำ ยังคล้ายเป็นการบริหารท่อเลือดให้ทำงานอยู่เสมอๆ จึงช่วยให้ท่อเลือดไม่อุดตันจากการไม่ได้ใช้งานนั่นเอง

ทั้งนี้ทั้งนั้น การห้อยหัวยังมีอีกหลากหลายรูปแบบที่นิยมทำและให้ผลคล้ายๆ กัน อาทิโยคะท่าศีรษะอาสนะ (Headstand) หรือ การห้อยหัวด้วยเครื่อง Inversion Table ที่ช่วยเสริมประโยชน์ในเรื่องของกระดูก หมอนรองกระดูก ข้อต่อต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติ นอกจากนี้ยังลดอาการไส้เลื่อน ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นเนื่องจากลำไส้อาจมีการเคลื่อนตัว ช่วยสร้างเซลล์กระดูกใหม่ขึ้นมาทดแทนช่วยให้พออายุมากร่างกายยังคงเหมือนปกติ ไม่เตี้ยลงหรือหลังค่อมเนื่องจากการยืดตัว

อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อควรระวังผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูงหรือความดันโลหิตต่ำและผู้มีอายุมากๆ ควรรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ ถ้าในระหว่างที่ทำ 10 นาที ถ้าเกิดอาการหน้ามืด ก็ควรหยุดพักทันที


ที่มา  สมาคมแพทย์แผนไทย แห่งประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข

กำจัดมดแบบง่ายๆ ทำเองได้ไม่ยุ่งยาก

เคล็ดไม่ลับ..ฉบับเอส .วี.

เสนอการกำจัดมดภายในบ้านแบบง่ายๆ

ที่ทำเองได้ไม่ยุ่งยาก

ใครเคยลองเอามือไปปาดทางเดินมดไหมคะ มดจะชะงักและเดินต่อไม่ได้ เพราะว่าเวลาที่มดเดิน มันจะสร้างกลิ่นของมันไว้ตามที่ต่างๆ
เพื่อให้มันสามารถเดินทางกลับรังและตัวอื่นๆ ที่เดินตามไม่พลัดหลงกันนั่นเอง

วันนี้เรามาดูวิธีไล่มดได้ง่าย ซึ่งในที่นี้ เราจะใช้ ”น้ำส้มสายชู” คะ
เนื่องจากกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของน้ำส้มสายชู ที่เปรี้ยวมาก ทำให้มดไม่ชอบนั่นเองมันจึงไม่มากวนเราคะ
วิธีทำ : นำน้ำส้มสายชู 1แก้ว กับ น้ำเปล่า 2 แก้ว มาผสมกันแล้วใช้ผ้ามาชุบ เช็ดตามขาโต๊ะอาหาร เก้าอี้ หรือเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่ไม่ต้องการให้มดมากวนเท่านี้เราก็สามารถกำจัดมดได้แล้วค่ะ แต่การทำแบบนี้ต้องทำบ่อยๆ เดือนละ 1-2 ครั้งนะคะ เพราะเราไม่ได้ใช้เคมีกำจัด แต่เป็นการไล่แทน อีกอย่างยังเป็นวีธีที่สะดวกและวัตถุดิบยังหาได้ไม่ยาก


ที่มา https://web.facebook.com/svgroupthailand/photos/a.604978609640411.1073741840.561328477338758/615931381878467/?type=3&theater

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

รวมสูตรหมักไก่

รวบรวมสูตรหมักไก่ by Eat clean baby ค่า อีโมติคอน smile
ได้ไอเดียหมักเพิ่มเยอะเลย จะได้ไม่เบื่อเมนูง่ายๆน้า พราวเงก็จะลองทำ ลองหาสูตรมาเรื่อยค่ะ
***สูตรในเม้นแบบละเอียด แอดบอกเลย คลังแสง โปรดมาดูกัน!!**

จากที่แชร์อาหารต่างๆ ไม่ว่าจะหมู ไก่ ทั้งหมักเอง ชาวเพจส่งมา ก็มีสูตรมากมาย แต่..บางทีคนที่พึ่งเริ่มทำอาจจะงง หรือหาไม่เจอ หรือสงสัยจะหมักยังไงดีน้อ เริ่มยังไงดีน้อ มาม้ะ 

พราวจัดการรวมคลังแสงหมักเนื้อสัตว์ไว้แล้วค่ะ จริงๆเมื่อก่อนแอดอิ่มก็รวบไว้แล้ว แต่มันนานแล้ว เลยขอปักอีกอัน ทำรูปไว้จะได้หาง่ายๆ ทดลองมาเย้อ เจ็บมาเย้อออ ได้ไอเดียจากชาวเพจก็เยอะ ไม่เฉพาะไก่นะคะ หมักหมูก็ได้เช่นกัน อีโมติคอน smile หมูเลือกส่วนลีนๆหน่อยก็ทานได้ค่ะ ไม่จำเป็นว่าทานคลีนจะทานหมูไม่ได้นะคะ

เคล็ดลับ - สำหรับความนุ่ม by แอดอิ่ม
เหยาะ baking soda เอาไว้ทำคุ้กกี้ เบเกอรี่ไปเบาๆ ถ้าใช้เบกกิ้งโซดาหมักใส่ทับเปอร์แวร์เก็บได้หลายวันอยู่ (เบกกิ้งโซดานะเฟร้ย ไม่ใช่โซดาไฟเทใส่ทะลวงท่อตัน T o T อย่าหยิบผิดนะแก แด่วได้ลงข่าวหน้าหนึ่งไทยรัฐตอนเช้า แบ่บกินไก่หมักตายยกครัว ไรงี้)
หรือจะใช้น้ำสับประรดสดแทนเบกกิ้งโซดาก็ได้ (แต่ห้ามหมักนาน เคยหมักข้ามวัน ไก่เละเป็นขรี้เลย เอาตะเกียบคีบร่วงตุ๊บ อนุภาคเอมไซม์สับประรดช่างโหดยิ่ง เค้าถึงว่าอย่ากินสับปะรดตอนท้องว่าง!)

อันนี้เป็นสูตร ไอเดียคร่าวๆ ก่อนนะคะ
- ปริมาณกะๆเอานะคะ ไม่เน้นเค็ม เน้นเครื่องเทศจะดีกว่า ดูปริมาณไก่ของเรา ค่อยๆใส่ ส่วนในเม้นแอดจะเพิ่มแบบมีปริมาณให้อีกนะคะ -

เริ่มจากสูตรคุณ Wasuta Promla ค่ะ

1. กระเทียม พริกไทย รากผักชี ตำ/ปั่นรวมกัน เติมซอสน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว (ตามแต่ความเคร่ง 55) หมักข้ามคืน มันจะนุ่มเองค่ะ อันนี้คือเบสิก ทำบ่อย ง่ายดี
2. สูตรตามข้อ1 + น้ำมันงา + งาคั่ว ได้ออกแนวจีนๆ
3. สูตรตามข้อ 1 + น้ำผึ้งนิดนึง + นมสด ได้ออกมาแนวหมูปิ้งนมสด
4. สูตรตามข้อ 1 + ผงกะหรี่ + น้ำผึ้ง + นมสด ได้ไก่สะเต๊ะหอมๆ
5. สูตรตามข้อ 1 + ตะไคร้+ข่า+ใบมะกรูด ปั่นรวมกัน ได้ไก่ย่างตะไคร้ หอมสมุนไพร
6. สูตรตามข้อ 1 + โยเกิร์ต + น้ำผึ้ง+ น้ำมันมะกอกนิดนึง + โรสแมรี่ (ชอบออริกาโน่ก็ใช้ได้ค่ะ) ได้ไก่ย่างออกแนวฝรั่งๆ หน่อย
7. สูตรตามข้อ 1 + น้ำมันมะกอก + มัสตาร์ด+น้ำผึ้ง จะได้ไก่ย่างเผ็ดๆ หอมๆ
8. หมักซอสบาร์บีคิวทำเอง ผสมนมสดนิดนึง ได้ไก่ย่างบาร์บีคิวค่ะ
9.หมักซอสเทริยากิทำเอง พอย่างเสร็จเอาซอสที่เหลือตั้งไฟ ละลายแป้งข้าวโพดกับน้ำ เทลงไปคนๆ ได้ข้าวหน้าไก่ย่างซอสเทริด้วยค่ะ

อันนี้รวบรวมมาจากคอมเม้น ต่างๆ จากสูตรต่างๆที่แชร์ไป ทดลองเองบ้าง ขออนุญาตินะคะ

- หมักมิโสะ
- หมักแบบเบสิคๆ กระเทียม พริกไทย น้ำมันหอย ซี้อิ๊ว และนมสดไขมันต่ำ
- โยเกิร์ต ผงกระเทียม ผงอบเชย เกลือ พริกไทย
- หมักกะนม แล้วใส่ผงกะหรี่ กระเทียม เกลือนิดหน่อยค่า นุ่มและหอมมั่กๆ
- หมักโยเกริตกับพริกไทยดำ
- ไก่หมักนมสด+โรสแมรี่สดสับละเอียด+กระเทียมสับ+เกลือ+นำมันหอยนิดๆ แช่ตู้เย็นทิ้งไว้ประมาณ 1 ชม.แล้วเอามาย่าง หอมมมทั้งบ้านค่ะ ^^
- ชอบหมักซอสเพรสโต้(ปั่นเอง)
- หมักโยเกิร์ต+ผงกะหรี่
- หมักเกลือ พริกไทย ตะไคร้
- ปาริก้า น้ำผึ้ง เกลือ
- ซีอิ้วขาว+กระเทียมสับ+ขิงสับ+น้ำมันงา1เหยาะ
- ใช้เกลือ LS + ใบไทม์ + โรสแมรี่
- นม กระเทียม พริกไทย เกลือ ผงขมิ้น
- รากผักชี กระเทียม เม็ดผักชี พริกไทยดำ น้ำตาลทรายแดง น้ำผึ้ง
- โยเกิร์ต+กระเทียมสับ+ออริกาโน+เกลือ+พริกไทย

เคล็ดลับจากคุณ Zom Za
หมักกับเบกกิ้งโซดา สิบนาทีค่ะ ล้างออกแล้วปรุงรสตามปกติ ได้ทั้งหมู ไก่ หมูจะนุ่มเด้งเหมือนร้านดัง

คำถาม ?
ย่างไก่ยังไงไม่ให้แห้งอ่ะค่ะ
คำตอบ - เราใช้ไฟอ่อน ย่างในกระทะเทฟลอน ไม่น้ำมันค่ะ พอเอาไก่ลงแล้ว หาฝามาปิดกระทะไว้ ให้ไอน้ำอบอยู่ในนั้น ช่วยได้ค่ะ ^^
พยายามอย่าย่างนานเกินไป เราไม่ได้จับเวลานะคะ พอด้านนึงเปลี่ยนสี ก็กลับ ปิดฟาไว้อีกแป๊บก็เอาขึ้นได้แล้วค่ะ (Wasuta Promla)

จากแอดอิ่ม อันเดิม เพิ่มเติมเดี๋ยวพราวบอก 5555

ปล 1. ใครที่กำลังนึกในใจ หมักกะทิไม่อ้วนเหรอฟระ - - ตราบใดยังไม่ยกกะทิดื่มแทนนมงี้ อย่าได้วอรี่เกินเหตุ แค่หมักให้ผิวของเนื้อมันมีรสชาตินุ่มนวลเฉยๆ

ปล. 2. ซอสหอยนางรมเลือกยี่ห้อที่ไม่ใส่ชูรส ถ้ามียี่ห้อที่ไม่ใส่วัตถุกันเสียจะเริ่ดมาก ใครเจออะไรดีๆ โปรดเอามาแบ่งปันบอกกล่าวด้วยน้า อย่าอมภูมิเก็บไว้ในใจคนเดียว

ปล. 3 ใครสงสัยว่าสูตรหมักพวกนี้ แน่ใจรึว่าจะเป็นอาหารคลีน? - - ถ้าทนกินจืดแบบไม่มีรสชาติได้ตลอดชีวิตก็ดีไม่ลำบากใจ ก็ทำต่อไป แต่ส่วนใหญ่จะตบะแตกภายในไม่กี่วันเพราะคนไทยติดกินรสแซ่บตั้งแต่เกิดมาอุแว้แรก การเดินสายกลางพอดีๆ กินแบบพอมีรสชาติบ้างแต่ไม่ให้ติดรสจัดจนเกินเหตุ ทำให้เรากินคลีนได้อย่างไม่ต้องเครียดเกินและรู้สึกว่าตักอาหารใส่ปากทีโลกฉันเป็นสีเทา

ปล. 3 ปลานี่เหมาะเอามาหมักสมุนไพรโลดเลย หยิบกระต่ายขูดกะทินั่งแหกขาเป็นแม่เบี้ยไป ตำคะไคร้สดผสมเบียร์เกลือซีอิ้วไร มั่วๆไปเผื่อออกมาฟลุ๊คอร่อ


 Vichai Thiramano ผมหมักหมู... ทุบหมูนิดหน่อย โรยเกลือนิดๆๆ พาสรี่ย์ ราดนมข้นจืดลงไปครับ 

บางครั้งก้ใช้เป็น ชะโลมน้ำผึ้ง ทาให้ทั่วหมู แล้วเอาหอมมาหมักโรยพริกไทยนิดหน่อย ถึงเวลาเอาหมูไปนาบกระทะ สุกเอาหอมที่หมักลงไปผัดๆๆต่อ แล้วเอามาเสริฟ์คู่กันครับ


สูตรนี้ต่อ อกไก่ 1 ชิ้น ประมาณ 6oz. (170-180g)
- น้ำผึ้ง 5กรัม
- เกลือทะเล 1 ชช. (ใช้เกลือธรรมดาได้)
- ผงปาปริก้า ตามชอบ
- all spice salt-free ตามชอบ
- ดีจอง มัสตาร์ด 5กรัม (ใช้มัสตาร์ธรรมดาได้)
- พริกไทยดำป่น ตามชอบ
- น้ำมันมะกอก 5กรัม (คาโนล่าก็ได้)
- เบคกิ้ง โซดา 1 ชช. 

ส่วนเกรวี่ น้ำราดไก่
- เนย 1/2 ชต. (เบลใช้ I cant believe its not a butter ; light)
- lemon 1 ซีกเล็ก

1.คลุกส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน พักไว้ 1 ชม. อย่างต่ำ (ให้เครื่องปรุงทำความรู้จักกันนิด เพื่อความอร่อย 55555) 
2.ตั้งกะทะย่าง หรือ กะทะธรรมดาก็ได้ ถ้าแบบย่าง ไก่เราจะสวย ดูดี อิอิ
3.ฉีดสเปรย์น้ำมันมะกอก หรือ คาโนล่า หรือ เอาแปลงทาๆ 
4.นำไก่ที่หมักแล้ว ค่อยๆวางลงไป เราต้องการจี่ไก่ให้สีสวยเท่านั้นนะคะ ไม่ย่างจนสุก ทำแบบนี้ 2 ฝั่ง ให้สีสวยตามต้องการ ก็พักขึ้นมา ใส่ถาดฟอย หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะใช้ (ใช้ถาดฟอย ง่ายดี)
5.เอาอลูมิเนียมฟอย ปิดถาดที่ใส่ไก่ให้มิด นำเข้าเตาอบที่อุ่นเตาไว้แล้ว 20นาที อุณหภูมิ 220c อบไก่เป็นเวลา 30 นาที 
6.พักให้เย็นสัก 5 นาที เปิดฟิยออก เอาไก่ออกมาใส่จาน เราจัมาทำเกรวี่ต่อคะ
7.นำถาดน้ำที่เหลือจากอบไก่ วางบนเตาเลย (นี่คือเหตุผลที่เบลใช้ถาดฟอย) เปิดไฟปานกลาง-แรง เคี่ยวน้ำซอสไปเรื่อยๆ ซะ 2-3นาที แล้วใส่เนยลงไป คนให้เข้ากัน เคี่ยวต่ออีกจนเริ่มข้น 
8.บีบ น้ำเลม่อนลงไป 1 ซีกเล็ก คนให้เข้ากัน เป็นอันเสร็จพร้อมราดบนอกไก่ของเราค่า 

*เปลี่ยนจาก lemon เป็น น้ำส้มสายชูบัลซามิคก็อร่อยอีกแบบนะจ้ะ!

รูปภาพของ Eat Clean Baby

จากคุณ Orn Ornsiri
อกไก่มักซอสบัลซามิกและมัสตาร์ดสัดส่วนต่ออกไก่ ประมาณครึ่งชิ้น
1. บัลซามิก 3 ช้อนโต๊ะ

2. มัสตาร์ด 3 ช้อนโต๊ะ 
3. เกลือ และพริกไทดำเล็กน้อย 
มักไว้15-30 นาที แล้วย่างได้เลยค่ะ

รูปภาพของ Eat Clean Baby

จากคุณ Sandy Pathomsakulrat 
ไก่อบตะไคร้ค่ะ ง่ายๆเลย
เครื่องปรุง

พริกไทยเม็ด
รากผักชี
กระเทียม
ตะไคร้
ซีอิ้วขาว
ขมิ้นผง
วิธีทำ
เอาทุกอย่างที่ว่ามาข้างต้นปั่นรวมกันค่ะสะดวกดี อิอิ จากนั้นผสมกับซีอิ้วแล้วนำไก่ลงหมักสัก1ชม ก่อนอบ เราใข้ไฟประมาณ190F นาน30-45นาทีแล้วแต่ว่าไก่ที่อบมากน้อย 
เสร็จออกมาหน้าตาอย่างที่เห็น แบบคลีนเบาๆเพราะใช้ซีอ้ิวไม่เยอะมากให้ไก่รสชาดพอหอมและอร่อย เค็มนิดๆค่ะ

รูปภาพของ Eat Clean Baby

จากคุณ Taii Charinthorn 
เราใส่ข้าวคั่ว น้ำมะขามเปียก พริกไทยดำป่น หมักไก่+ปลา รสชาติอร่อยดีค่ะ หอมข้าวคั่วด้วยแล..

รูปภาพของ Eat Clean Baby

ไก่หมักbalsamic vinegarค่ะ จากคุณ 
Warakorn Ananrattanasakul
นํ้าส้มสายชูอันนี้ออกจะราคาแพงไปหน่อยแต่ซื้อติดไว้ก็เอาไปทํานํ้าสลัดได้คะ

นํ้าส้มสายชู+นํ้ามันมะกอก 1:1 เลยคะ

ส่วนสูตรหมักไก่นะคะ
2tbsp Balsamic vinegar
2tbsp มัสตาร์ด
2tsp ออริกาโน่
1/4ถ้วยตวง นํ้ามันมะกอก
กระเทียมทุบสับละเอียด
เกลือและพริกไทย

วิธีทําก็เอาไปปิ้งบนกระทะจนเกรียมทั้งสองด้านแล้วก็เอาไปใส่ไมโครเวฟให้สุกอีกสัก1.30นาที
ทีนี้ก็เสร็จเรียบร้อยคะ รสชาติจะเปรี้ยวนิดๆ หอมออริกาโน่กับกระเทียมหน่อยๆ
รสชาติคล้ายสเต็กไก่ตามร้านอาหารเลยนะเออ 

รูปภาพของ Eat Clean Baby

จากคุณ Nadoublet Natthaya
หมักไก่ไว้กินพรุ่งนี้ น้ำหมักมี homemade yogurt, bay leaf, chop parsley, salt, black pepper

รูปภาพของ Eat Clean Baby

ขอขอบคุณ ที่มา https://web.facebook.com/eatcleanbaby?fref=photo