วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ข้อคิดของคนดังที่ประสบความสำเร็จ

ข้อคิดของคนดังที่ประสบความสำเร็จ 

ไมเคิล แองเจลโล กล่าวว่า “อันตรายที่สุดสำหรับพวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่การกำหนดจุดมุ่งหมายของเราสูงเกินไปและล้มลงในระยะเวลาอันสั้น แต่คือการกำหนดจุดมุ่งหมายของเราต่ำเกินไปต่างหาก” คำคมนี้สอนให้คุณรู้ว่าควรคิดการใหญ่

สตีฟ จ็อบส์ กล่าวว่า “วิธีเดียวที่จะทำผลงานที่ดี คือ การรักในสิ่งที่คุณทำ” คำคมนี้สอนให้คุณรู้ว่าควรหาสิ่งที่รักและลงมือทำมัน

ไทเกอร์ วูด กล่าวว่า “ในการรักษา ฉันได้เรียนรู้เรื่องสำคัญที่สุด คือ การรักษาชีวิตทางจิตวิญญาณและชีวิตที่สมดุล ฉันต้องการที่จะฟื้นความสมดุลของฉัน” คำคมนี้สอนให้คุณรู้ว่าควรเรียนรู้ความสมดุลของชีวิต

เฮนรี่ ฟอร์ด กล่าวว่า “ความล้มเหลวเป็นเพียงโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และคราวนี้เริ่มอย่างฉลาดมากขึ้น” คำคมนี้สอนให้คุณรู้ว่าอย่ากลัวความล้มเหลว

มาร์ก ทเวน กล่าวว่า “คนที่มีความคิดใหม่ คือ เหวี่ยงจนความความคิดประสบความสำเร็จ” คำคมนี้สอนให้คุณรู้ว่าอย่ากลัวการแนะนำความคิดใหม่ๆ

วอลเตอร์ ดิสนีย์ กล่าวว่า “ถ้าคุณสามารถฝันได้ คุณก็สามารถทำมันได้เช่นกัน” คำคมนี้สอนให้รู้ว่าเชื่อในความสามารถของคุณว่าคุณจะประสบความสำเร็จ

ไมเคิล จอร์แดน กล่าวว่า “ฉันหวังว่าคนนับล้านเคยได้สัมผัสการมองโลกในแง่ดีและมีความปรารถนาที่จะแบ่งปันเป้าหมายในชีวิต การทำงานหนักและความอดทนของพวกเขา โดยมีทัศนคติที่เป็นบวกอยู่เสมอ คำคมนี้สอนให้รู้ว่าจงมีทัศนคติบวกเสมอ

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า “ฉันไม่มีความสามารถพิเศษ ฉันแค่เพียงขี้สงสัยอย่างที่สุด” คำคมนี้สอนให้รู้ว่าจงหัดเป็นคนขี้สงสัย เมื่อตั้งคำถามแล้วก็จงหาคำตอบ

โอปราห์ วินฟรีย์ กล่าวว่า “ความลับที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต คือ ไม่มีอะไรลับ เพราะไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเป็นอะไร ก็แค่คุณมีความตั้งใจเต็มเปี่ยมที่จะทำงาน” คำคมนี้สอนให้คุณรู้ว่าจงต้องการและตั้งใจอย่างที่สุด

โรสเวลต์ เอเลนอร์ กล่าวว่า “อนาคตเป็นของคนที่เชื่อมั่นในความฝันของตัวเองว่ามันสวยงาม” คำคมนี้สอนให้คุณรู้ว่าจงมีฝัน

ที่มา People Magazine

มารู้จักกับ ส่วนผสมของน้ำอัดลม จะได้รู้ว่ามีโทษ


มารู้จักกับ ส่วนผสมของน้ำอัดลม จะได้รู้ว่ามีโทษ

ได้ความรู้จากสาขาเคมี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ที่อธิบายเรื่องน้ำอัดลมไว้ว่า ส่วนประกอบของน้ำอัดลม มี

1.น้ำ ได้มาจากการนำน้ำบาดาลมาผ่านการกรองและฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีน

2.สารให้ความหวาน คือ น้ำตาลทราย หรือ ซูโครส หรือในน้ำอัดลมบางชนิดจะผสมน้ำตาลเทียมแอสปาร์แทม (แอสปาร์แทมเป็นกรดอะมิโนที่รับประทานได้แต่ต้องไม่มากเกินไป)

การผลิตน้ำอัดลมชนิดธรรมดาจะใช้น้ำตาลทรายเพียงอย่างเดียว นำมาผสมน้ำ แล้วต้มทำเป็นน้ำเชื่อม และกรอง แต่ปัจจุบันมีการใช้สารให้ความหวานตัวอื่นเพิ่ม เช่น น้ำเชื่อมข้าวโพด และน้ำเชื่อมข้าวโพดแบบฟรักโทสสูง เป็นต้น

3.สารปรุงแต่ง หรือที่เรียกกันว่าหัวน้ำเชื้อ เป็นส่วนผสมของสารที่ให้สีและกลิ่น จากนั้นทำให้ของผสมทั้ง หมดเย็นลง

4.ส่วนประกอบตัวที่ 4 เป็นตัวที่ทำให้น้ำอัดลมมีชื่อว่า น้ำอัดลมสมชื่อ แต่จริงๆ น่าจะชื่อว่า น้ำอัดแก๊ส มากกว่า เพราะคือ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ โดยจะนำแก๊สคาร์บอนได ออกไซด์อัดลงในส่วนประกอบทั้ง 3 ที่ผสมไว้ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นระหว่างน้ำกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะต้องใช้ความดันสูง หรือใช้การอัดให้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ทำปฏิกิริยากับน้ำให้ได้ เนื่องจากในสภาวะความดันปกติ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์แทบจะไม่ละลายน้ำหรือไม่ทำปฏิกิริยากับน้ำเลย

ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยานี้ จะได้กรดคาร์บอนิกที่ทำให้น้ำอัดลมซ่าและมีฟอง แต่กรดคาร์บอนิกที่เกิดขึ้นนั้นไม่เสถียร คือสลายตัวได้ง่ายในภาวะความดันปกติ ยิ่งถ้ามีความร้อนด้วยจะยิ่งเร่งการสลายตัวให้เร็วขึ้น

จะสังเกตได้ว่าถ้าวางน้ำอัดลมทิ้งไว้นานๆ รสชาติจะเปลี่ยนไปและไม่มีฟอง เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสลายตัวของกรดคาร์บอนิกก็คือจะได้น้ำกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเอง

ดังนั้น เมื่อเปิดขวดน้ำอัดลมออก ความดันที่สูงในขวดน้ำอัดลมก็จะลดลงเท่ากับความดันปกติ จึงทำให้กรดคาร์บอนิกสลายตัวออกมา ได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสังเกตได้จากการเกิดฟอง

5.ถ้าดูส่วนผสมของน้ำอัดลมจากข้างขวดหรือข้างกระป๋อง จะพบว่าหนึ่งในส่วนผสมนั้นคือ เอทิลีนไกลคอล สารตัวนี้เป็นตัวทำให้น้ำอัดลมเย็นจัดและช่วยป้องกันการแข็งตัวที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส

เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วเราจะนำน้ำอัดลมไปแช่เย็นก่อนดื่ม เอทิลีนไกลคอลจะช่วยให้น้ำอัดลมไม่แข็งตัวที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส โดยจะทำให้น้ำอัดลมแข็งตัวที่อุณหภูมิต่ำกว่านั้น คือประมาณ -4 หรือ -5 องศาเซลเซียส

6.กาเฟอีน ไม่ได้มีเฉพาะในกาแฟ หรือในเครื่องดื่มบำรุงกำลังเท่านั้น แต่ยังมีในเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของเม็ดโคล่าด้วย กาเฟอีนเป็นสารที่มีกลิ่นหอมและเป็นสารกระตุ้นประสาทที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวและลดความง่วงลง แต่ต้องไม่ดื่มมากเกินไป

7.วัตถุกันเสียหรือสารกันบู ใส่เข้าไปเพื่อให้สามารถเก็บน้ำอัดลมได้นาน

และ 8.ส่วนประกอบอื่นๆ เช่น กรดซิตริกและกรดฟอสฟอริก เป็นกรดค่อนข้างแรง ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินอาหารได้

น้ำอัดลมมีน้ำตาลอยู่ ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ แต่ก็ได้พลังงานเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีก เรียกว่า Empty calories หรือพลังงานที่ว่างเปล่า

ที่มา: รู้ไปโม้ด nachart@yahoo.com
http://www.unigang.com/Article/14649

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

โยคะช่วยลดความอ้วนจริงหรือ.....แล้วประโยชน์อย่างอื่นล่ะ ?

นอกเหนือจากการมีรูปร่างที่ดีแล้ว โยคะให้ประโยชน์อะไรกับผู้ฝึกอีกบ้าง

ปัจจุบันโยคะถือเป็นการออกกำลังกายยอดนิยม ส่วนใหญ่สาวๆ ให้เหตุผลว่าเล่นโยคะแล้วร่างกายฟิตแอนเฟิร์ม หรือการเล่นเป็นประจำเป็นระยะเวลานานก็จะทำให้มีรูปร่างที่ผอมเพรียวและร่างกายที่ยืดหยุ่นดี หากแท้ที่จริงแล้วโยคะอันเป็นศาสตร์ที่กำเนิดขึ้นมานานกว่า 2000 ปีนั้น ให้ประโยชน์แก่ผู้ฝึกอย่างไร

ประโยชน์ทางด้านร่างกาย 

•ร่างกายมีความยืดหยุ่น(Flexibility): ร่างกายของผู้ฝึกโยคะจะได้รับยืดเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ ผู้ที่ต้องอยู่ในท่าเดิมๆ เป็นเวลานานๆ ทำให้ร่างกายตึงและยึด เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะฝึกโยคะ


•เพิ่มความแข็งแรง (Strength): ท่าโยคะหลายท่าที่ผู้เล่นจะต้องแบกน้ำหนักของตัวเองในรูปแบบที่แต่งต่างจากในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่นท่า Plank (ลักษณะเหมือนท่าวิดพื้น แต่แขนตรง ไม่งอข้อศอก)
•มีกล้ามเนื้อที่ได้สัดส่วน: ผลพวงของการมีร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นคือร่ายกายจะมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น และกล้ามเนื้อที่ได้จะได้สัดส่วนทั่วทั้งร่างกาย เนื่องจากท่าโยคะต่างๆ นั้นเป็นการบริการตั้งแต่หัวจรดเท้า

•อาการปวดตามส่วนต่างๆ ในร่างกายจะลดลง : ยกตัวอย่างสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลัง หลังจากคุณฝึกโยคะร่างกายจะมีพัฒนาการในด้านการยืดหยุ่นและความแข็งแรงเพิ่มขึ้น คนที่ปวดหลังส่วนมากเกิดจากการนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์หรือขับรถเป็นเวลานานๆ ซึ่งอาจจะทำให้เส้นตึง ยึด หรือเส้นประสาทที่กระดูกสันหลังถูกกดทับ ซึ่งถือว่าโยคะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้เหมาะสมอย่างยิ่ง นอกจากนี้ผู้ฝึกจะมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น

•มีการหายใจที่ดีขึ้น: คนส่วนมากมักจะหายใจไม่ลึกและไม่ให้ความสำคัญกับการหายใจเท่าที่ควร การหายใจแบบโยคี (Pranayama) เป็นการฝึกที่ต้องเพ่งความสนใจไปที่ลมหายใจและฝึกให้เราหายใจโดยใช้ปอดอย่างเต็มกำลังความสามารถซึ่งร่างกายทุกส่วนจะได้รับประโยชน์ การหายใจแบบโยคีมีหลายประเภทมาก บางประเภทช่วยให้ช่องทางเดินหายใจเปิดกว้างขึ้น บางประเภทช่วยทำให้ระบบประสาทส่วนกลางที่เกี่ยวกับการทำงานของร่างกาย (central nervous system) สงบและผ่อนคลาย ทั้งนี้ผู้ฝึกจะได้รับประโยชน์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

•โยคะเป็นการออกกำลังกายที่ใช้น้ำหนักตัวเองช่วย (weight bearing): ซึ่งจะช่วยให้ความหนาแน่นของกระดูกเพิ่มขึ้น เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงวัยทองผู้เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน (osteoporosis) และกระดูกบาง (thinning of the bone)


ประโยชน์ทางด้านจิตใจ 

•ทำให้จิตใจสงบ: โยคะถือเป็นการออกกำลังกายที่ใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายข้อนข้างมาก แต่ในขณะเดียวกันหัวใจสำคัญของโยคะก็คือการฝึกให้จิตใจมีความสงบ อาจกล่าวได้ว่าโยคะก็คือการทำสมาธิแบบเคลื่อนไหวนั่นเอง(โยคีเป็นผู้คิดค้นโยคะ พวกเขาจะฝึกโยคะก่อนนั่งสมาธิ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจมีความพร้อมต่อการทำสมาธิ.....ลองนึกถึงพวกโยคีที่นั่งสมาธิเป็นวันๆ โดยไม่ขยับ การที่จะนั่งได้นานเช่นนั้นโยคะสามารถช่วยได้เนื่องจากร่างกายมีพลังและจิตใจมีความสงบมากหลังฝึกโยคะเสร็จ)

•ผ่อนคลายความเครียด: เป็นที่ทราบกันว่าการออกกำลังกายสามารถคลายความเครียดได้ โดยเฉพาะโยคะนั้นถือเป็นความจริงอย่างยิ่งเนื่องจากผู้ฝึกจะต้องมีโฟกัสอย่างสูงในขณะฝึก การที่เราเพ่งจิตไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง (concentration) สิ่งที่เรากังวลใจอยู่ในวันนั้น ณ เวลานั้น ไม่ว่าปัญหานั้นจะใหญ่หรือเล็กก็จะไม่ถูกสะกิดขึ้นมาในขณะที่เรามีสมาธิอยู่กับการฝึก ถือว่าเป็นการช่วยให้ร่างกายได้พักร้อนจากความเครียดและความกังวล และอาจเพิ่มทัศนคติที่ดีของผู้ฝึก (เนื่องจากจากเขาได้ตัดความกังวลออกไป) โยคะให้ความสำคัญกับการอยู่กับปัจจุบัน (being in the present moment) สามารถช่วยลดความเครียดได้เพราะผู้ฝึกจะไม่ไปยึดติดอยู่กับอดีตหรือกังวลกับอนาคต ช่วยให้เราสามารถเดินออกจากห้องฝึกด้วยความรู้สึกเครียดที่น้อยลงกว่าตอนก่อนฝึก

•มีความสามารถที่จะรู้จัก เข้าใจ และแยกแยะส่วนต่างๆ ของร่างกาย (body awareness) : ผู้ฝึกโยคะจะมีความตระหนักถึงความรู้สึกในร่างกายของตนเอง เพราะในการฝึกนั้นจะต้องให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบร่างกายที่ค่อนข้างละเอียดเพื่อปรับปรุงและทำให้ท่าโยคะแต่ละท่าถูกต้อง หลังจากฝึกเป็นระยะเวลานานผู้ฝึกก็จะรู้สึกว่าร่างกายของตนนั้นมีความสบายมากขึ้น เราจึงเห็นว่าผู้ที่เล่นโยคะเป็นเวลานานมีบุคลิกภาพและท่าทางของร่างกายที่ดีขึ้นและมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
ประโยชน์ทางระบบหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ Cardiovascular System

•ผู้ที่ฝึกโยคะแบบเบาๆ สามารถลดระดับความดันหิตให้ต่ำลงได้เพราะว่าท่าโยคะ (asana): ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายในขณะที่ผู้ฝึกโฟกัสไปที่ลมหายใจ

•หฐโยคะ(hatha ภาษาอังกฤษออกเสียงว่าฮาตะ) สามารถทำให้อาการของความตึงตัวมากเกินไปของร่างกาย (hypertension)ลดลงได้: เช่นเดียวกับอัตราการเต้นของหัวใจและความดันที่ต่ำลง
•ผู้เล่นโยคะเป็นจำนวนมากยืนยันว่าโยคะทำให้คลอเรสเตอรอลลดลง (เพราะระดับคลอเรสเตอรอลนั้นสัมพันธ์กับระดับความเครียด)

•พาวเวอร์โยคะถือเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งซึ่งทำให้หัวใจ ระบบไหลเวียนเลือดและระบบหายใจทำงานดีขึ้น (cardio exercise): เนื่องจากผู้ฝึกต้องใช้กล้ามเนื้อกลุ่มใหญ่ของร่างกายอย่างเป็นจังหวะและต่อเนื่อง (กล้ามเนื้อกลุ่มใหญ่อาทิ กล้ามเนื้อขา หน้าท้อง หลัง และแขน)

ประโยชน์ทางสุขภาพอื่นๆ
•ช่วยกำจัดอาการปวดหัวและไมเกรน เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนดีขึ้น ความเครียดลดลง นอนหลับง่ายขึ้น ล้วนแล้วแต่ช่วยแก้โรคไมเกรนที่ต้นเหตุทั้งสิ้น

•การฝึกโยคะเป็นประจำสามารถช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ(antioxidant)ทั่วทั้งร่างกาย ซึ่งจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย (immune system)แข็งแรงขึ้น มีผลให้ไม่ป่วยง่ายและอาการป่วยต่างๆ หายเร็วขึ้น

•โยคะช่วยลดน้ำหนัก (การฝึกพาวเวอร์โยคะร่างกายจะเผาไหม้แคลอรีสูง ซึ่งช่วยในการลดน้ำหนัก) ผู้ฝึกโยคะเป็นประจำจะมีน้ำหนักตัวที่อยู่ในระดับที่สมดุล

•โยคะช่วยรักษาโรคนอนไม่หลั หากฝึกโยคะเป็นประจำจะทำให้นอนหลับลึกขึ้น

•ช่วยลดอาการเหนื่อยง่ายและทำให้มีพลังมากขึ้นตลอดวัน

สรุปก็คือโยคะถือเป็นการออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์มากต่อผู้ฝึกทั้งทางร่างกาย จิตใจ ความรู้สึก เรียกว่าครบรูปแบบ การฝึกฝนที่ต่อเนื่องประกอบกับการดำเนินชีวิตอย่างมีสติและใส่ใจต่อร่างกายก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี ห่างไกลจากโรคร้าย และแถมด้วยหุ่นสวยๆ อีกด้วย 

http://www.oknation.net/blog/miracleme/2013/02/12/entry-1

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บิกินี่โซล่าเซลล์



บิกินี่โซล่าเซลล์ที่ทำจากแผ่นฟิล์มเซลล์แสงอาทิตย์ที่ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เพื่อให้คุณสามารถชาร์ท mp3 เล่นของคุณหรือสร้างความเย็นให้คุณสาวๆในขณะที่คุณเล่นกีฬาแทน แต่คิดว่าคนที่ประดิษฐ์บิกินี่โซล่าเซลล์ คงได้คิดวิธีที่จะทำให้มันปลอดภัย แต่พยายามที่จะไม่ประหารชีวิตตัวเองเมื่อคุณว่ายน้ำ เพราะเสียชีวิตด้วยไฟช็อตได้

เสาสาธารณะชาร์จอุปกรณ์พกพา



โครงการนี้มีชื่อว่า Street Charge ที่ริเริ่มโดย AT&T หลังจากที่อเมริกาโดนเฮอริเคนแซนดี้ จนทำให้ไฟฟ้าดับไปหลายเมือง โดยเฉพาะนิวยอร์คที่คนไม่มีไฟฟ้าใช้ พอมือถือแบตหมดก็ไม่สามารถโทรขอความช่วยเหลือหรือติดต่อคนที่รักได้
ตัว Street Charge จะมีลักษณะเหมือนเสาไฟฟ้า แต่ด้านล่างจะมีหัวต่อสำหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต รองรับเกือบทุกรุ่นตั้งแต่ USB ปกติ, Micro USB, หัวแบบ 30-pin และหัว lightning สำหรับอุปกรณ์ของแอปเปิ้ล
ด้านบนของเสาจะติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์และระบบจากบริษัท Goal Zero เอาไว้รับแสงอาทิตย์มาผลิตกระแสไฟฟ้า โดยไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นจะถูกส่งไปเก็บยังแบตเตอรี่ลิเธียมเพื่อให้เก็บไฟไว้ชาร์จยามค่ำคืนได้
ใครที่ใช้อุปกรณ์พกพาที่กินแบตมากๆก็จะมีที่ชาร์จไฟเพิ่มเติม รวมถึงเป็นประโยชน์ต่อนักท่องเที่ยวที่ใช้มือถือหาข้อมูลต่างๆจะได้มีแบตใช้งานได้ต่อเนื่อง
ตอนนี้ทาง  AT&T ได้ทดลองตั้งเสานี้เอาไว้ 4 ขุดในนิวยอร์คโดยเน้นที่ที่มีคนเยอะๆ นอกจากนี้เค้ายังวางแผนที่จะลงเสาเพิ่มขึ้นอีก 25 จุดก่อนหมดหน้าร้อนนี้
VIA PCWORLD

กับดักยุงรักษาสิ่งแวดล้อม




ช่วงนี้ ไข้เลือดออกระบาด......ไปเจอกับดักยุงรักษาสิ่งแวดล้อม ก็เอามาฝากครับ

สิ่งที่ต้องการ:
1. น้ำ ครึ่งแก้ว
2. น้ำตาลทรายแดง หนึ่งช้อนโต็ะ
3. ยีสต์ 1 กรัม(ยีสต์ทำขนมปัง ในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วๆไป) และ 
4. ขวดพลาสติกใส (ขวดน้ำอัดลม) 1.5 ลิตร หรือ 2 ลิตร
5. กระดาษสีดำหรือสีทึบ 1แผ่น

วิธีการ:
1. ตัดขวดพลาสติก เป็นสองส่วน เก็บส่วนคอเอาไว้
2. ผสมน้ำตาลกับน้ำร้อน ปล่อยให้เย็น เมื่อเย็น เทลงก้นขวด
3. ใส่ยีสต์ลงไปในน้ำผสมน้ำตาลกับน้ำร้อน ไม่ต้องคน มันจะสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
4. วางส่วน คว่ำ กรวยที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของขวดสวมกลับไปที่ฐาน ผันเทปกาวให้ติดกันสนิทตามรูป
5. ห่อด้วยกระดาษสีดำหรือสีทึบ 
6. นำไปวางในที่มืด ตามมุมบ้านของคุณ หรือสวนหลังบ้าน 

ในสองสัปดาห์ คุณจะเห็นจำนวนยุงและยุงที่ตายภายในขวด
ใช้วิธีนี้มีประโยชน์มากใน โรงเรียน โรงพยาบาล บ้าน ranches ฟารม์ ฯลฯ โดยที่ไม่ต้องฉีดหรือผ่นสารเคมีซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และครอบครัวครับ

หากชอบเนื้อหาของเรา แบ่งปันต่อเพื่อสุขภาพที่ดีซึ่งกันและกันด้วยนะคะ ฝากกด "ถูกใจ" ที่หน้าเพจเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ https://www.facebook.com/CKHealthyTips
ขอบคุณค่ะ ^_______^

Cr. Teerayut Unsorn by Paolo Memorial Hospital
แบ่งปันความรู้ ข้อมูล เกี่ยวกับสุขภาพ ให้เพื่อนได้อ่าน เผื่อจะได้เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้บ้าง หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นะคะ ^__^
โดย: CK Healthy Tips

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การทดลองเปลี่ยนโคมไฟถนนเป็นหลอด LED ของ กฟน

ถนนสายหลักและสายรอง พื้นที่ในความรับผิดชอบของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) มีหลอดไฟสาธารณะอยู่ราว 800,000 ดวง อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ราว 300,000 ดวง ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าราว 350 ล้านยูนิตต่อปี 

การไฟฟ้านครหลวงจึงได้จัดทำโครงการทดลองติดตั้งโคมไฟฟ้าสาธารณะด้วยหลอด LED ในเขตกรุงเทพมหานคร แทนโคมไฟสาธารณะชนิด HPS 250 วัตต์ และ HQV 125 วัตต์ ซึ่งในการศึกษา พบว่า


หลอดไฟแบบ LED เป็นหลอดไฟที่ช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าหลอดไฟแบบเดิมถึง 60% หรือสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ถึง 740 ยูนิตต่อดวงต่อปี มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 50,000 ชั่วโมง หรือประมาณ 10 ปี เมื่อคิดที่การใช้งาน 12 ชั่วโมงต่อวัน เมื่อเทียบกับหลอดไฟที่ใช้ปัจจุบันมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 24,000 ชั่วโมง 

จากการเปรียบกันระหว่างหลอดไฟแบบเก่า HPS 250 วัตต์ ให้ความสว่างใกล้เคียงกับหลอดไฟแบบ LED 140 วัตต์ แต่หลอดไฟ HPS กินกำลังไฟฟ้าถึง 299 วัตต์ ขณะที่หลอดไฟ LED กินกำลังไฟฟ้าเพียง 130 วัตต์ ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 0.5 ตันต่อโคมต่อปี หากติดตั้งเป็นจำนวน 100 โคม จะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 50 ตันต่อปี

กฟน.ได้ทดลองติดตั้งโคมไฟสาธารณะชนิด LED แล้วที่ถนนพาหุรัด ถนนตรีเพชร ถนนจักรเพชร 85 ดวง ซอยชิดลม 37 ดวง และถนนเทศบาลสาย 1 (ใกล้โรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนท์) 20 ดวง รวมทั้งสิ้น 142 ดวง ตั้งแต่เมื่อปลายปี 2555 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณครึ่งปีแล้ว พบว่า ช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าลงได้ถึง 52,540 ยูนิต ประหยัดค่าไฟได้ประมาณ 183,890 บาท

นายวรวุฒิ พรวรนันท์ รองผู้ว่าการ กฟน. เปิดเผยว่า การนำหลอด LED มาใช้กับไฟฟ้าสาธารณะนั้น นอกจากจะช่วยประหยัดพลังงานแล้ว แสงจากหลอดไฟ LED ให้ความสว่างแบบแสงสีขาวเสมือนจริง เพิ่มความชัดเจนในการมองเห็น ทำให้สามารถขับขี่ยานพาหนะได้อย่างปลอดภัย และช่วยลดปัญหาอาชญากรรมที่มักเกิดขึ้นในที่มืดได้ จากการทดลองติดตั้งไปแล้วบนถนนพาหุรัด ถนนตรีเพชร ถนนจักรเพชร ซอยชิดลม และถนนเทศบาลสาย 1 พบว่า ช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าไปได้มาก และจากการสอบถามชาวบ้านที่อยู่บริเวณพื้นที่ที่มีการติดตั้งหลอดไฟแบบใหม่ ส่วนใหญ่พึงพอใจที่มีไฟถนนที่สว่างขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 2556 กฟน.จะติดตั้งโคมไฟสาธารณะชนิด LED เพิ่มเติมที่ถนนเยาวราชตลอดทั้งสาย ทั้งนี้จะมีการเก็บข้อมูลเพื่อประมวลผล ก่อนขยายการติดตั้งโคมไฟฟ้าสาธารณะ LED แทนโคมไฟชนิดเดิมต่อไป

ฟิลิปปินส์เกิดวิกฤติขาดแคลนไฟฟ้า

ขาดแคลนไฟฟ้าที่ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่บนเกาะลูซอน ของฟิลิปปินส์ ต้องเผชิญไฟดับ

การคาดหมายว่าความต้องการไฟฟ้าจะมีมากกว่าการคาดหมายของรัฐบาล ทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างคอลล์เซนเตอร์ การท่องเที่ยว และการพนัน

บริษัทเอกชนจำนวนหนึ่งเร่งระดมทุน 9,000 ล้านดอลลาร์สำหรับสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าแห่งใหม่ แต่การก่อสร้างคาดว่าจะใช้เวลา 3 ปี อีกทั้งเสียงคัดค้านโรงงานถ่านหินยังทำให้โครงการล่าช้าออกไป

ที่ปรึกษาหอการค้าอเมริกันในฟิลิปปินส์กล่าวว่าแน่นอนที่จะมีการสร้างโรงงานใหม่ๆ แต่คำถามคือจะสร้างได้เร็วพอสอดรับกับความต้องการหรือไม่

เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ขยายตัวถึง 7.8% ช่วงไตรมาสแรก จนบริษัทสแตนดาร์ดแอนด์พัว และฟิทช์เรตติง ปรับขึ้นอันดับความน่าเชื่อถือ แต่การจัดหาไฟฟ้าถือเป็นการท้าทายหลักด้านโครงสร้างพื้นฐานในช่วงที่ประธานาธิบดีเบนิญโญ อคิโน กำลังผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีการสร้างโรงไฟฟ้าหลักแห่งใหม่เพียงแห่งเดียวบนเกาะลูซอน ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและพาณิชย์ ส่วนโรงไฟฟ้าอื่นสร้างขึ้นเมื่อวิกฤติไฟฟ้า 20 ปีที่แล้ว

ส่วนเกาะมินดาเนา ทางใต้ จะต้องเผชิญภาวะไฟดับไปถึงปี 2558 จนตัวแทนสมาคมผู้ส่งออกกล่าวว่าสภาพการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมากต่อนักธุรกิจ

นายเซอร์จิโอ ออร์ทิส-หลุยส์ ประธานสมาพันธ์ผู้ส่งออก กล่าวว่าหากไม่มีการสร้างโร
งไฟฟ้าใหม่ๆ ฟิลิปปินส์จะเจอปัญหาใหม่ภายในปี 2559

สมาคมคอนแทคเซนเตอร์ (Contact Centre) กล่าวว่าอุตสาหกรรมคอลล์เซนเตอร์ ซึ่งจ้างคนงาน 600,000 คน ตั้งเป้าขยายตัวปีละ 15% และมีรายได้ 15,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2559 แต่เป้าหมายดังกล่าวยากจะบรรลุหากเกิดวิกฤติพลังงาน

แผนการล่าสุดของกระทรวงพลังงานระบุว่า ศักยภาพในการกำเนิดไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศ คาดว่าจะขึ้นถึง 15,300 เมกะวัตต์ปีนี้ และฟิลิปปินส์ต้องมีศักยภาพในการผลิตเพิ่มอีก 2,500 เมกะวัตต์ในเวลา 4 ปีจนถึงปี 2560

เกาะลูซอนต้องการไฟฟ้าเพิ่ม 1,600 เมกะวัตต์ภายในปี 2560 แต่สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระระบุว่าเกาะลูซอนจะต้องการไฟฟ้าอีก 3,280 เมกะวัตต์ภายในปี 2560 หรือ 2 เท่าของประมาณการของทางการ ส่วนฟิลิปปินส์ทั้งประเทศจะต้องการไฟฟ้าเพิ่มอย่างน้อย3,860 เมกะวัตต์ เพราะเศรษฐกิจขยายตัวสูงกว่าที่คาดไว้ และความต้องการใช้ไฟก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

บริษัทเครือรายใหญ่ในฟิลิปปินส์ต่างอยากสร้างโรงงานไฟฟ้า หรือเพิ่มศักยภาพโรงงานเดิมที่มีอยู่ในช่วง 5 ปีหน้า ประธานบริษัทซานมิเกล ผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ที่สุดของฟิลิปปินส์ กล่าวว่าหากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าทุกคนกำลังวางแผนเข้าสู่ธุรกิจพลังงาน

โครงการที่กำลังวางแผนอยู่ในปัจจุบันจะมีกำลังผลิต 4,400 เมกะวัตต์ แต่หลายโครงการมีแนวโน้มจะล่าช้าออกไป

นอกจากนั้น บริษัทที่เล็งสร้างโรงงานใหม่ ยังวิตกที่จะทุ่มทุนหากไม่มีการรับรองผู้ซื้อเชิงอุตสาหกรรมระยะยาว อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ก็วิตกเกี่ยวกับข้อตกลงระยะยาวที่มีการกำหนดราคาตายตัว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ยิ่งทำให้โครงการล่าช้าออกไปอีก

นโยบายกระทรวงพลังงาน

นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน เผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 2,657 ล้านบาท เพื่อดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน 3 โครงการ คือ 

1. การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนอาคารภาครัฐวงเงิน 1,187ล้านบาท ปัจจุบันอาคารภาครัฐกระจายอยู่ทั่วประเทศประมาณ 5,298 แห่ง มีการใช้พลังงานในภาพรวมประมาณ 673 ล้านหน่วยต่อปีซึ่งภาครัฐมีภาระค่าใช้จ่ายสำหรับค่าไฟฟ้าในอาคารภาครัฐกว่า 2,500 ล้านบาทต่อปี การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาจะผลิตไฟฟ้าใช้ในอาคารภาครัฐ ตั้งเป้าหมายติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารศาลากลางจังหวัดในเขตรับผิดชอบของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทั้ง 74 จังหวัดและหลังคาอาคารของรัฐในเขตจังหวัดในความรับผิดชอบของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทั้ง 74 จังหวัด เช่น อบต. เทศบาล ฯลฯ รวมทั้งสิ้นประมาณ 25 เมกะวัตต์โดยแบ่งเป็นจังหวัดขนาดใหญ่ที่มีจำนวนตำบลมากกว่า 180 ตำบล จำนวน 8 จังหวัด รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 6 เมกะวัตต์ จังหวัดขนาดกลางที่มีจำนวนตำบลระหว่าง 90-180 ตำบล จำนวน 27 จังหวัดรวมกำลังการผลิตติดตั้ง 10.5 เมกะวัตต์ และจังหวัดขนาดเล็กที่มีจำนวนตำบลน้อยกว่า 90 ตำบลจำนวน 39 จังหวัดรวมกำลังการผลิตติดตั้ง 8.5 เมกะวัตต์ 

2. ปรับเปลี่ยนหลอดไฟฟ้าเดิมเป็นหลอดไฟฟ้าแอลอีดีของโรงพยาบาลในความดูแลของกระทรวงกลาโหม 400 ล้านบาท และ

3. งบประมาณประชาสัมพันธ์และรณรงค์ประหยัดพลังงาน 1,070 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดจะใช้เงินของกองทุนฯ 

นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการปรับโครงสร้างราคาพลังงานของประเทศว่า ปัจจุบันแผนการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันราคาเดียวทั่วประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการศึกษา คาดว่า จะสามารถดำเนินการได้อีกประมาณ 2 ปี เพราะต้องสร้างคลังน้ำมันแห่งใหม่ทั่วประเทศก่อน 

ส่วนการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) คาดว่า จะเริ่มดำเนินการได้ในวันที่ 1 ก.ค.นี้

เรื่องการปรับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าระยะยาวของประเทศ ฉบับใหม่ หรือ พีดีพี 2013 ระหว่างปี 56-73 กระทรวงพลังงาน ได้มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ร่วมกันศึกษาแผนพีพีดี ฉบับใหม่ 2013 คาดว่า ในเดือนก.ค.นี้ จะได้ข้อสรุป

พรสวรรค์ พรแสวง' ประโยคที่ไอน์สไตน์ไม่ได้พูด และคนไทยไม่เคยเข้าใจ

วงศกร ชัยธีระสุเวท
'อัจฉริยะเกิดจาก พรสวรรค์ 1% และ พรแสวง 99%'
คิดว่าหลายต่อหลายคนคงได้เคยฟังประโยคนี้มาตั้งแต่เด็ก บ่อยบ้าง นานๆ ครั้งบ้าง เพื่อเป็นข้อคิดเตือนใจไว้ให้เรารู้จักฮึกเหิมพยายาม และเราก็อ้างคำพูดนี้มาโดยตลอด โดยหารู้ไม่ว่า พอมาดูต้นฉบับภาษาดั่งเดิมจริงๆ มันกลับถูกเขียนว่า


'Genius is 1% inspiration 99% perspiration'perspiration แปลว่า การขับเหงื่อ ซึ่งจะอุปมาแปลว่าความพยายามก็ได้แต่ inspiration มันแปลว่า แรงบันดาลใจมิใช่หรือ ?

 
แม้ภาษาอังกฤษของข้าพเจ้าจะค่อนข้างอ่อนด้อยสักปานไหน แต่ดูยังไง๊ยังไงข้าพเจ้าก็ไม่เห็นว่ามันจะแปลเป็น 'พรสวรรค์' ไปได้ ข้าพเจ้าพอเดาไปได้ว่าอาจเกิดจากความหลากเลื่อนของความหมาย (ซึ่งคนที่รู้ศัพท์ภาษาอังกฤษมามากพอสมควรจะรู้ดีว่าภาษาไทยที่เราแปลกันใน dictionary มักจะไม่ค่อยตรงข้ามหมายจริงๆ เท่าใดนัก เพราะคำต่างๆ ในแต่ละภาษาก็มีประวัติศาสตร์บริบทสิ่งแวดล้อมมากมายที่เวลาแปลมาเป็นอีกภาษาหนึ่งแล้ว ความหมายมันจะได้ไม่ครบถ้วนเวลาสื่อออกไป) ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไปเช็คกับ Dicฯ อังกฤษ-อังกฤษ ให้แน่ใจอีกที แต่แปลแล้วแปลอีกอย่างไร ก็ไม่เห็นตรงไหนจะแปลเป็น 'พรสวรรค์' ไปได้เลย


ข้าพเจ้าคิดว่า ประโยคนี้มันน่าจะแปลออกมาได้ว่า 'อัจฉริยะเกิดจากแรงบันดาลใจ 1% และ ความพยายาม (หรือพรแสวงก็ได้) 99%' เสียมากกว่า

 
ข้าพเจ้าลองท่องโลกอินเตอร์เพื่อจะดูว่าคนไทยแปลประโยคสุดคลาสสิคนี้ออกมาอย่างไรบ้าง ก็พบว่ามีคนแปลตามความหมายที่ข้าพเจ้าคิดไม่น้อยเลยทีเดียว แล้วที่มีคนเคยอ้างอิงว่ามันแปลว่า 'อัจฉริยะเกิดจากพรสวรรค์1% และ พรแสวง 99%' นั้นมันมาจากไหนกันหรือ?
ถ้าให้ท่านเลือกระหว่างการแปลสองสำนวนนี้ โดยไม่ต้องสนใจความหมายดั่งเดิม ท่านจะถูกใจประโยคไหนมากกว่ากัน ข้าพเจ้าเชื่อว่าเกือบ 90 % เลือกที่จะชอบแปล inspiration ว่า พรสวรรค์มากกว่าแน่ๆ มันช่างลื่นหูและสอดคล้องลงตัวกับ คำว่าพรสวรรค์ที่จะยกพ่วงมาต่อท้ายเสียเหลือเกิน
สำหรับคนไทย (โดยเฉพาะคนแก่ๆ) แล้วเราไม่เคยรู้สึกเลยว่า 'แรงบันดาลใจ' จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จต่างๆ นาๆ ได้อย่างไร (ถ้าคนรุ่นใหม่ ก็อีกเรื่อง) ประเทศชาติเราไม่เคยเข้าใจ idea หรือตรรกะของคำว่า 'แรงบันดาลใจ' จริงๆ เพราะคำๆ นี้มันเป็นแนวคิดของฝรั่งที่ได้ถูกถ่ายถอดมายังเมืองไทยเมื่อสมัยหลังๆ นี้เอง ตั้งแต่โบราณมาเราไม่เคยมีแรงบันดาลใจอะไรหน้าไหนเป็นส่วนประกอบของความสำเร็จทั้งสิ้น เวลาเราเห็นใครประสบความสำเร็จอะไรนอกจากคำว่า 'พยายาม' ซึ่งเป็นส่วนน้อยมากแล้ว เรามักจะโบ้ยว่า 'ทำบุญมาดี ดวงดี ศาลเจ้าพ่อช่วย หรือฟ้าประทาน' เสียมากกว่า เราไม่เคยบอกว่าที่คนนั้นคนนี้ประสบความสำเร็จเพราะมันมี 'แรงบันดาลใจที่แรงกล้าจริงเชียว'
คำว่าแรงบันดาลใจเราจะบอกว่ามันเป็นเรื่องของ โชค บุญ ฟ้าประทาน ก็ได้แต่ก็ไม่ใช่เสียเลยทีเดียว เพราะแรงบันดาลต้องเกิดจากการออกแรงในการคิดเสียก่อน เราต้องชอบที่จะวิเคราะห์ครุ่นคิดอย่างหนักคิดไม่ออกก็จะไม่ยอมกินข้าว เสมือนตาลุงนักวิทยาศาสตร์หัวหงอก ที่ชอบแบกหนังสือเล่มหนาๆ เดินครุ่นคิดไปมาทั้งวันจนเราต้องกล่าวหาว่าเขาเพี้ยน พูดอีกอย่างคือ 


การจะได้แรงบันดาลใจนั้นเราต้องมีความมานะอุตสาหะในการสะสมความรู้หรือความคิดมามากมายอยู่ก่อนแล้ว เสมือนบัวใกล้โผล่โพ้นน้ำขึ้นมา แต่แค่รอเพียงมีอะไรมาสะกิดอีกนิดเดียว ก็จะหาคำตอบได้ทันที
 
ส่วนคำว่า โชค บุญ ฟ้าประทานหรือพรสวรรค์นั้น เราไม่ต้องมีความพยายามอะไรเลยมาก่อนทั้งสิ้น แต่อยู่ดีๆ ความคิดมันก็พลันเข้ามาเสมือน มีเงินหล่นทับมาให้โดยไม่ต้องออกแรงทำงาน หรือเหมือนคนที่พูดภาษาอังกฤษขั้นเทพได้โดยไม่ต้องฝึกพูดมาก่อน
จากเหตุผลที่ร่ายยาวมานี้มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมในวัฒนธรรมภาษาของชาติไทยเราจึงไม่มีคำว่า แรงบันดาลใจ มาก่อน นั่นก็น่าจะเป็นเพราะ 


บรรพบุรุษชาติเราแต่เดิมทีคิดวิเคราะห์กันน้อยมาก ชาติเราเป็นชาติที่ค่อนข้างอยู่สุขสบายในแง่การกิน ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล ปลูกข้าวค่อนข้างจะขึ้นตลอดทั้งปี ไม่ต้องมีการวางแผนหรือพินิจคิดอะไรซับซ้อนมากนักในการประกอบหน้าที่การงานในแต่ละวัน (หรือใครจะเสริมว่าเป็นเพราะชนชั้นปกครองกดไม่ให้คิดก็ตามแต่) เราเป็นชาติที่ 'ไม่ชอบคิด' อะไรที่ซับซ้อน ซึ่งแตกต่างไปจากวัฒนธรรมของฝรั่ง ที่ชีวิตไม่สุขสบายเหมือนเรานัก เพราะอากาศค่อนข้างแปรปรวนเป็นอุปสรรคต่อการปลูกพืชผักหรือหาอาหารเลี้ยงชีพจึงต้องมีการคิดวางแผนรอบครอบในแต่ละวัน มิฉะนั้นจะไม่สามารถอยู่รอดได้ แล้ววัฒนธรรมในการคิดซับซ้อนนี้ก็มีผลทำให้ฝรั่งสามารถผลิตอัจฉริยะแห่งการประดิษฐคิดค้นมาได้มากมายดั่งที่เราเห็นในปัจจุบัน
 
ฉะนั้นแล้วสำหรับคนไทย เราจึงมีแนวโน้มที่จะเข้าใจ สำนวนแปลอันที่หนึ่งที่ว่า 


 'อัจฉริยะเกิดจากพรสวรรค์ 1% และ พรแสวง 99%' มากกว่า สำนวนแปลอันที่สองที่ว่า 'อัจฉริยะเกิดจาก แรงบันดาลใจ 1% และความพยายาม 99%' ซึ่งน่าจะเป็นความหมายที่ถูกต้องมากกว่า

มีข้อถกเถียงมากมายว่า คำพูดหรือ speech ที่ว่ามานี้มันถูกต้องหรือไม่ บ้างก็ว่า ความสำเร็จเกิดจากมีโชคมากกว่ามีความพยายาม หรือบ้างก็ว่าคนที่มีความพยายามเยอะๆ ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป
อย่างไรเสียข้าพเจ้าจะไม่ขอร่วมวงถกเถียงว่าจริงหรือไม่ แต่ขอปล่อยให้เป็นเรื่องของนานาจิตตัง ใครจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ความคิดความเชื่อของแต่ละคน แต่อยากให้ข้อสังเกตอันหนึ่งว่า 


คำพูดหรือ speech นี้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ อัจฉริยะแห่งโลกฟิสิกส์ไม่ได้เป็นคนพูดดั่งที่เราเข้าใจกันมาโดยตลอด แต่เป็นคำพูดของ โทมัส อัลวา เอดิสัน อัฉริยะนักประดิษฐ์ผู้บ้างาน ต่างหาก (อ้างอิงจากนิตยสาร Harper's Monthly ฉบับ September ปี 1932)

 ก็ไม่น่าแปลกใจที่เอดิสัน จะเป็นคนพูด เพราะถ้าใครได้อ่านชีวประวัติของแกจะรู้ว่าแกเป็นคนที่บ้างานเอาเสียมากๆ สามารถควบคุมการงีบช่วงกลางวันของตัวเองได้อย่างลื่นไหล ตื่นขึ้นมาก็ลุกทำงานต่อได้เลยโดยไม่มีอาหารเซื่องซึม

และเป็นที่น่าสนใจมากว่า คนไทยดูจะรักใคร่นักฟิสิกส์ชื่อก้องที่ชื่อ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เสียเหลือเกิน ถ้าลองเอาประโยคเท่ห์ๆ เจ๋งๆ แนวๆ จากใครก็ได้ มาให้ ลุงไอน์สไตน์ สวมรอยอ้างแทน ก็มักดูดี และสามารถสะกดให้คนไทยเชื่อได้เสมอว่าเค้าเป็นคนพูดจริงๆ


ส่วนเอดิสัน ถ้าได้มาเห็นประโยคอันแสนเท่ห์ของแกในเมืองไทย ถูกตัดหน้าไปโดย ไอน์สไตน์ แล้วก็คง เสียใจไม่น้อย แต่ก็คงไม่สามารถทำให้แกเสีย Self ได้มากนัก เฉกเช่นความพยายามของแกต่อชิ้นงานในโลกแห่งการประดิษฐ์ เพราะ


เอดิสันนั้นดูเหมือนแกจะท่องคาถาแต่เพียงอย่างเดียวว่า 'จงพยายามๆๆๆๆ ต่อไป ' ส่วนไอน์สไตน์ นั้นกลับกล่าวถึงชิ้นงานฟิสิกส์อันลื่อลั่นของแกอย่างถ่อมตัวว่า 'ทฤษฎีต่างๆ ที่ผมค้นพบถ้าผมไม่ได้ค้นพบในวันนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องมีคนค้นพบอยู่ดี' ฉะนั้นแล้วสำหรับไอน์สไตน์เค้าเชื่อว่า บุญหรือโชคช่วยก็มีความสำคัญต่อความสำเร็จของเค้าไม่น้อย

ถ้าเอดิสันจะพูดว่า Genius is 1% inspiration ไอน์สไตน์ก็คงจะพูดกลับกันว่า Genius is much more % inspiration !

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กลุ่มทุนขัดขวางเราก็ไม่ถอย

ได้รับแจ้งข่าวจากเครือข่ายชุมชนพึ่งตนเองที่ภาคอีสานว่า วันนี้ประชาชนสาสมารถหาหนทางที่ง่ายในการใช้แผงโซลาร์ 280 วัตต์ แผ่นเดียว สูบน้ำต่อตรง โดยใช้ปั๊มไดโว่ ดีซี 24 โวลท์ สามารถได้น้ำเต็มท่อ 1 นิ้ว สูง 7 เมตรจากระดับผิวน้ำ เพื่อทำการเกษตรแบบยั่งยืน ใช้รดน้ำพืชผักได้ รวมทั้งทำแสงสว่าง ทำไฟฟ้าใช้ในพื้นทีีที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึ...งได้
แต่สิ่งที่ประชาชนทำเองได้ กลับสร้างความไม่พอใจของกลุ่มทุน ที่เคยทำของราคาสูง เพื่อขายให้กลุ่มมเกษตรกรแบบไม่มีทางเลือก ถึงขั้นกลุ่มทุนเข้าไปเจรจาด้วย
ขอแจ้งให้ทราบทั้งกลุ่มทุนการเมือง กลุ่มทุนพลังงานระดับประเทศ หรือข้ามชาติ ทีมงานยังยึดแนวทางที่จะสอนให้ วัด ประชาชน พึ่งตนเองได้ ทำเองได้ แก้ปัญหาเอง พัฒนาแนวทางเองได้ ในทุกเรื่อง ตั้งแต่พลังงานไฟฟ้า จนถึงพลังงานจากพืชน้ำมัน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบในระดับมหภาคกับรายได้ของกลุ่มทุนในอนาคต
การต่อยอดการถ่ายทอดความรู้ การสอนต่อ กำลังเกิดขึ้นแบบทวีคูณ ในหลายพื้นที่ ที่มีอาสาสมัครปฏิบัติการอยู่ และเราจะไม่หยุดที่จะทำงานนี้ โดยไม่เกรงกลัวอันตรายใด ๆ
เราคาดหวังว่าประชาชนจะสามารถทำรายได้จากน้ำที่ได้จากพลังงานแสงแดด ที่ทำให้เกิดผลผลิตทางการเกษตร หรือพืชน้ำมันที่สามารถนำมาลดรายจ่ายเพื่อ ทดแทนการใช้พลังงานจากน้ำมันปิโตรเลี่ยมที่ท่านกำลังผูกขาดแบบเบ็ดเสร็จ ทั้งแหล่งพื้นที่สัมปทาน การขุดเจาะ การกลั่น การจัดจำหน่าย
วันที่ประชาชนพึ่งตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งทางด้านพลังงานและเกษตรอินทรีย์ บ้านเมืองก็จะสดใส ปลอดภัย มั่งคั่ง และส่งผลดีกลับไปสู่ลูกหลานของท่านทั้งหลายในอนาคตต่อไป
ที่มา  https://www.facebook.com/?ref=tn_tnmn#!/phakdee.nun/posts/486693958076408

อุปกรณ์ป้องกันสัตว์เลื้อยคลานปีนเสาไฟฟ้า

อุปกรณ์ป้องกันสัตว์เลื้อยคลาน ที่คิดค้นป้องกันสัตว์ เช่น กระรอก งู ตุ๊กแก ลิง เป็นต้น ปืนไปโดนสายไฟฟ้าแรงสูงด้านบน เป็นเหตุให้ไฟฟ้าขัดข้อง และต้องเสียทั้งเวลา แ...รงงานและทุนทรัพย์ เพื่อเข้ามาแก้ปัญหาไฟฟ้าขัดข้อง ...เป็นนวัตกรรมที่ดูเรียบง่ายแต่ช่วยได้เยอะเลย

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้นำแผ่นป้องกันงูมาใช้นานกว่า 30 ปีแล้วและมีปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยปรับปรุงแผ่นป้องกันงูของเดิมที่มีราคาแพง ขัดขวางการปฏิบัติงานของพนักงานซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ และเป็นการลดต้นทุนในการจัดทำแผ่นป้องกันงูสำหรับเสาไฟฟ้าแรงสูงของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

โดยหาวัสดุทดแทนแผ่นอลูมิเนียมที่มีราคาแพง และแผ่นป้องกันงูแบบใหม่ต้องมีคุณสมบัติในการป้องกันงูที่ดีกว่า มีความคงทนมีอายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 1 ปี สามารถติดตั้งใหม่หรือเปลี่ยนได้ง่าย ใช้อุปกรณ์ไม่ซับซ้อน และไม่มีสารเคมีที่อาจเป็นพิษต่อบริเวณใกล้เคียง ซึ่งก็ได้เปลี่ยนมาเป็นแผ่นพลาสติกแต่ก็ไม่คงทน จึงมีโครงการปรับปรุงแผ่นป้องกันงูโดยจะเปลี่ยนมาเป็นตะแกรงลวด ตามรูป

ข้อดี/ข้อเสีย

1. แผ่นอลูมิเนียม
- ทนทาน อายุการใช้งานนาน
- ปิดรูขึ้นเสาปฏิบัติงาน
- ค่าติดตั้ง 20 บาท/แผ่น
- ต้นทุน 250 บาท/แผ่น

2. แผ่นพลาสติก
- ปิดรูขึ้นเสาปฏิบัติงาน รองเท้าเสียบได้แต่ชำรุด
- อายุการใช้งาน < 1ปี
- ค่าติดตั้ง 20 บาท/แผ่น ต้นทุน 30 บาท/แผ่น

3. ตาข่ายตะแกรงลวด
- ป้องกันงูได้ดีกว่า
- ไม่ชำรุดขณะปฏิบัติงาน
- ต้นทุน 120 บาท/แผ่น
- อายุการใช้งาน~ 1.5 ปี

Cr : https://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q&esrc=s&source=web&cd=3&cad=rja&ved=0CDoQFjAC&url=http%3A%2F%2Fvisualcom.pbworks.com%2Ff%2Fa_pongpat-3.doc&ei=u67BUdnpNYvtrQey_oGIAQ&usg=AFQjCNFtrWDgZofMye4uC7ekx5UHgM-CKA&sig2=OdhYL-rwTgYwBTelLFD3FA&bvm=bv.47883778%2Cd.bmk

นิตยสาร พลัง+งาน ฉบับคิดเป็นทำเป็น เรื่อง "เตาแก๊สพลังงานแกลบ"

วันนี้พูดถึงเตาชีวมวลกันแล้ว ถือโอกาสแจกคู่มือฟรีฉบับ 3 ค๊าบ!!! นิตยสาร พลัง+งาน ฉบับคิดเป็นทำเป็น เรื่อง "เตาแก๊สพลังงานแกลบ" มาดูกันว่าหลักการเบื้องต้น วิธีการสร้าง การประยุกต์ใช้ จะเป็นอย่างไร หวังว่าคงพอช่วยให้ทุกท่านเพิ่มพูนความรู้ได้นะครับ สามารถดาวโหลดได้ตามลิงค์นี้เลยครับ http://www.energygreenhealth.com/download.php?book=5

เซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cell)

องค์ความรู้
ความรู้เรื่อง : เซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cell)
เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างจากสารกึ่งตัวนำซึ่งสามารถเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์(หรือแสงจากหลอดแสงสว่าง)ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรงและไฟฟ้าที่ได้นั้นจะเป็นไฟฟ้ากระแสตรง(Direct  Cuurent)จัดว่าเป็นแหล่งพลังงานทดแทนชนิดหนึ่ง(RenewableEnergy)สะอาดและไม่สร้างมลภาวะใดๆขณะใช้งาน

ประวัติความเป็นมาของเซลล์แสงอาทิตย์
เซลล์แสงอาทิตย์ถูกสร้างขึ้นมาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497) โดย แชปปิน (Chapin) ฟูลเลอร์ (Fuller) และเพียสัน (Pearson) แห่งเบลล์เทลเลโฟน (Bell Telephon) โดยทั้ง 3 ท่านนี้ได้ค้นพบเทคโนโลยีการสร้างรอยต่อ พี-เอ็น (P-N) แบบใหม่ โดยวิธีการแพร่สารเข้าไปในผลึกของซิลิกอน จนได้เซลล์แสงอาทิตย์อันแรกของโลก ซึ่งมีประสิทธิภาพเพียง 6% ซึ่งปัจจุบันนี้เซลล์แสงอาทิตย์ได้ถูกพัฒนาขึ้นจนมีประสิทธิภาพสูงกว่า 15% แล้ว ในระยะแรกเซลล์แสงอาทิตย์ส่วนใหญ่จะใช้สำหรับโครงการด้านอวกาศ ดาวเทียมหรือยานอวกาศที่ส่งจากพื้นโลกไปโคจรในอวกาศ ก็ใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดพลังไฟฟ้า ต่อมาจึงได้มีการนำเอาแผงเซลล์แสงอาทิตย์มาใช้บนพื้นโลกเช่นในปัจจุบันนี้ เซลล์แสงอาทิตย์ในยุคแรกๆ ส่วนใหญ่จะมีสีเทาดำ แต่ในปัจจุบันนี้ได้มีการพัฒนาให้เซลล์แสงอาทิตย์มีสีต่างๆ กันไป เช่น แดง น้ำเงิน เขียว ทอง เป็นต้น เพื่อความสวยงาม

เซลล์แสงอาทิตย์ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากน้อยเพียงใด
      พลังงานแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบพื้นโลกเรามีค่ามหาศาลบนพื้นที่1ตารางเมตรเราจะได้พลังงานประมาณ1,000วัตต์หรือเฉลี่ย4-5กิโลวัตต์/ชั่วโมง/ตารางเมตร/วันซึ่งมีความหมายว่าในวันหนึ่งๆบนพื้นที่เพียง1ตารางเมตรนั้นเราได้รับพลังงานแสงอาทิตย์ 1กิโลวัตต์เป็นเวลานานถึง4-5ชั่วโมงนั่นเองถ้าเซลล์แสงอาทิตย์มีประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานร้อยละ15ก็แสดงว่าเซลล์แสงอาทิตย์จะมีพื้นที่ 1ตารางเมตรจะสามาถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้150วัตต์หรือเฉลี่ย600-750วัตต์/ชั่วโมง/ตารางเมตร/วัน      ในเชิงเปรียบเทียบในวันหนึ่งๆประเทศไทยเรามีความต้องการพลังงานไฟฟ้าประมาณ250ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง/วันดังนั้นถ้า เรามีพื้นที่ประมาณ1,500ตารางกิโลเมตร(ร้อยละ0.3ของประเทศไทยเราก็สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ได้เพียงพอกับความต้องการทั้งประเทศ


หลักการทำงานและการใช้งานทั่วไปของเซลล์แสงอาทิตย์
โครงสร้างของเซลล์แสงอาทิตย์ที่นิยมใช้กันมากที่สุดได้แก่รอยต่อพีเอ็นของสารกึ่งตัวนำซึ่งวัสดุสารกึ่งตัวนำที่ราคาถูกที่สุดและมีมากที่สุดบนพื้นโลกได้แก่ซิลิกอนซึ่งถลุงได้จากควอตไซต์   หรือทรายและผ่านขั้นตอนการทำให้บริสุทธิ์ตลอดจนการทำให้เป็นผลึก

เซลล์แสงอาทิตย์หนึ่งแผ่นอาจมีรูปร่างเป็นแผ่นวงกลม (เส้นผ่นศูนย์กลาง5นิ้ว)หรือสี่เหลี่ยมจัตุรัส  (ด้านละ 5 นิ้ว )  มีควมหนา200 - 400ไมครอน ( ประมาณ 0.2 – 0.4 มิลลิเมตร )      และต้องนำมาผ่านกระบอนการแพร่ซึมสารเจือปนในเตาอุณหภูมิสูงประมาณ1000C )เพื่อสร้างรอยต่อ    P-N    ขั้วไฟฟ้าด้านหลังเป็นผิวสัมผัสโลหะเต็มหน้าส่วนขั้วไฟฟ้าด้านหน้าที่รับแสงจะมีลักษณะเป็นลายเส้นคล้ายก้างปลา-เมื่อมีแสงอาทิตย์ตกกระทบกับเซลล์แสงอาทิตย์จะเกิดการสรางพาหะนำไฟฟ้าประจุลบ  และประจุบวก ขึ้นซึ่งได้แก่อิเล็กตรอนและโฮลโครงสร้างรอยต่อพีเอ็นจะทำหน้าที่สร้างสนามไฟฟ้าภายในเซลล์เพื่อแยกพาหะไฟฟ้าชนิดอิเล็กตรอนให้ไหลไปที่ขั้วลบและทำให้พาหะนำไฟฟ้าชนิดโฮลไหลไปที่ขั้วบวก    ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าแบบกระแสตรงขึ้นที่ขั้วทั้งสองเมื่อเราต่อเซลล์แสงอาทิตย์เข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นหลอดแสงสว่าง มอเตอร์ เป็นต้น)ก็จะมีกระแสไฟฟ้าไหลในวงจรสลับก่อน

เซลล์แสงอาทิตย์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง5นิ้วจะให้กระแสไฟฟ้าลัดวงจรประมาณ3แอมแปร์และให้แรงดันไฟฟ้าวงจรเปิดประมาณ 0.5 โวลต์ถ้าต้องการให้ได้กระแสไฟฟ้ามากๆก็ทำได้โดยการนำเซลล์มาต่อขนานกันหรือถ้าต้องการให้ได้รแรงดันสูงๆก็นำเซลล์มาต่ออนุกรมกันเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีขายในท้องตลาดจะถูออกแบบให้อยู่ในกรอบอลูมินั่มสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งเรียกว่า แผง หรือ โมดูล

 -เนื่องจากกระแสไฟฟ้าที่ไหลออกจากเซลล์แสงอาทิตย์เป็นชนิดกระแสตรง  ดังนั้นถ้าผู้ใช้ต้องการนำไปจ่ายไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ ไฟฟ้ากระแสสลับต้องต่อเซลล์แสงอาทิตย์เข้ากับอินเวอร์เตอร์   ( Inverter)    ซึ่งเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าจากกระแสตรงให้เป็นกระแสสลับก่อน

-ถ้าจ่ายไฟฟ้าให้เฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้ากระแสตรงในเวลากลางวันเช่นหลอดแสงสว่างกระแสตรงสามารถต่อเซลล์แสงอาทิตย์กับเครื่องใช้ไฟฟ้ากระแสตรงได้โดยตรง
-ถ้าจ่ายไฟฟ้าให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้ากระแสสลับในเวลากลางวันเช่นตู้เย็นเครื่องปรับอากาศในระบบจะต้องมีอินเวอร์เตอร์ด้วย
-
ถ้าต้องการใช้ไฟฟ้าในเวลากลางคืนด้วยจะต้องมีแบตเตอรี่เข้ามาใช้ในระบบด้วย


กล่องควบคุมการประจุไฟฟ้าทำหน้าที่
1.เลือกว่าจะส่งกระแสไฟฟ้าไปยังอินเวอร์เตอร์หรือส่งไปยังแบตเตอรี่หรือ
2.ตัดเซลล์แสงอาทิตย์ออกจากระบบและต่อแบตเตอรี่ตรงไป ยังอินเวอร์เตอร์

-อินเวอร์เตอร์เป็นอุปกรณ์ที่แปลงกระแสไฟฟ้าตรงเป็นกระแสไฟฟ้าสลับในการแปลงดังกล่าวจะเกิดการสูญเสียขึ้นเสมอโดยทั่วไปประสิทธิภาพของอินเวอร์เตอร์มีค่าประมาณร้อยละ 85-90 หมายความว่าถ้าต้องการใช้ไฟฟ้า 85-90 วัตต์เราควรเลือกใช้อินเวอร์เตอร์100 วัตต์เป็นต้น ในการใช้งานเราควรติดตั้งอินเวอร์เตอร์ในที่ร่มอุณหภูมิไม่เกิน 40 C °ความชื้นไม่เกินร้อยละ 60 อากาศระบยได้ดี ไม่มีสัตว์เช่น หนู งู มารบกวน และมีพื้นที่ให้บำรุงรักษาได้เพียงพอ

 -สถานที่ติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ควรเป็นที่โล่งไม่มีเงามาบังเซลล์ไม่อยู่ใกล้สถานที่เกิดฝุ่นอาจอยู่บนพื้นดินหรือบนหลังคาบ้าน ก็ได้ควรวางแผงเซลล์ให้มีความลาดเอียงประมาณ10- 15 องศาจากระดับแนวนอนและหันหน้าไปทางทิศใต้การวางแผงเซลล์ให้มีความลาดดังกล่าวจะช่วยให้เซลล์รับแสงอาทิตย์ได้มากที่สุดและช่วยระบายน้ำฝนได้รวดเร็ว

การออกแบบขนาดของระบบเซลล์แสงอาทิตย์สำหรับติดตั้งบนหลังคาบ้าน

ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดกำลังไฟฟ้าของเซลล์แสงอาทิตย์ที่ควรติดตั้ง
เจ้าของบ้านควรพิจารณาว่าจะใช้เซลล์แสงอาทิตย์สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าใดบ้างเพื่อจะได้ติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ได้เพียงพอกับความต้องการและไม่ติดตั้งมากเกินความจำเป็น

ตัวอย่างที่1 บ้านหลังหนึ่งมีเครื่องใช้ไฟฟ้าและชั่วโมงของการใช้งานดังนี้

เครื่องใช้ไฟฟ้า
จำนวน(1)
กำลังไฟฟ้าต่อชิ้น (วัตต์)(2)
จำนวนชั่วโมงที่ใช้งานในหนึ่งวัน (3)
ผลคำนวนวัตต์-ชั่วโมง) (1)x(2)x(3)


หลอดฟลูออเรสเซนต์
2
36
5
360


โทรทัศน์
1
100
3
300


เครื่องปรับอากาศ
1
1,500
4
6,000


อื่นๆ
-
100
1
100





รวม
6,760


-จากตารางข้างต้นนี้ได้ข้อมูลในหนึ่งวันบ้านหลังนี้ใช้ไฟฟ้า 6,760 วัตต์-ชั่วโมง กำลังไฟฟ้าของเซลล์แสงอาทิตย์ที่ควรติดตั้ง
(Pcell)คำนวนได้ง่ายๆจากสูตรดังต่อไปนี้

                                Pcell = Pl/(QxAxBxC/D)

โดยที่     Pl : ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในหนึ่งวัน
             Q : พลังงานแสงอาทิตย์ในหนึ่งวัน (วัตต์-ชั่วโมง/ตารางเมตร) สำหรับประเทศไทยเท่ากับ 4,000 วัตต์-ชั่วโมง/ตารางเมตรโดยประมาณ
             A : ค่าชดเชยการสูญเสียของเซลล์ โดยทั่วไปกำหนดค่าประมาณ 0.8
             B : ค่าชดเชยความสูญเสียเชิงความร้อน โดยทั่วไปกำหนดค่าประมาณ 0.85
             C : ประสิทธิภาพของอินเวอร์เตอร์ โดยทั่วไปกำหนดค่าประมาณ 0.85 –0.9
             D : ความเข้มแสงปกติ = 1,000 วัตต์-ชั่วโมง/ตารางเมตร
เพราะฉะนั้น บ้านหลังนี้ต้องใช้เซลล์แสงอาทิตย์ที่ให้กำลังไฟฟ้เท่ากับ
Pcell = (6,760/4,000x0.8x0.85x0.85/1,000) = 2,923 W หรือประมาณ 2.9 kW 


ขั้นตอนที่ 2 การกำหนดจำนวนแผงของเซลล์แสงอาทิตย์
จำนวนแผงของเซลล์แสงอาทิตย์คำนวณได้โดยใช้กำลังไฟฟ้าของระบบหารด้วยกำลังไฟฟ้าที่เซลล์หนึ่งแผงที่ผลิตได้เมื่อทราบค่าจำนวนแผงแล้วขั้นตอนต่อไปคือจะต้องคำนวลว่าจะต้องนำเซลล์มาต่ออนุกรมหรือขนานกันอย่างไรจึงจะได้แรงดันไฟฟ้าทื่เพียงพอต่อการใช้งานจำนวนแผงเซลล์ที่จะต้องต่ออนุกรมกันหาได้โดยการใช้ค่าแรงดัรไฟฟ้าที่ต้องการหารด้วยแรงดันเอาต์พุตของหนึ่งแผง

ตัวอย่างที่ 2 จากตัวอย่างที่หนึ่งทราบว่าจะต้องติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์เท่ากับ 2.9 kW และแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงที่ต้องป้อนให้อินเวอร์เตอร์คือ 200 v ถามว่าจะต้องใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์กี่แผงและจะต้องต่อเรียงกันอย่างไร โดยสมมุติว่า แผงเซลล์แสงอาทิตย์มีสเปกดังนี้ให้กำลังไฟฟ้าสูงสุดเท่ากับ 50 วัตต์ (W) แรงดันไฟฟ้าสู.สุด 17 โวลต์ (V) กระแสไฟฟ้าสูงสุดเท่ากับ 2.94 แอมแปร์ (A) แรงดันไฟฟ้าวงจรเปิด 21.3 โวลต์ (V) และกระแสไฟฟ้าลัดวงจร 3.15 แอมแปร์ (A)

วิธีพิจารณา
ประมาณการเริ่มแรกของจำนวนของแผงเซลล์ที่ต้องติดตั้งทั้งหมด
= 2,900 (W) / 50  (W)  =  58 แผง
จำนวนของแผงเซลล์ที่ต่ออนุกรม
=  200(V)/ 17(V)   =12แผง(ปัดเศษขึ้น)
จำนวนแผงที่ต้องต่อขนาน
= 58 / 12   = 5 แถว (ปัดเศษขึ้น)
ดังนั้นกรณีบ้านหลังนี้จะใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์ทั้งหมด
= 12 x 5 = 60 แผง
โดยต่ออนุกรมแถวละ 12 แผงและต่อขนาน จำนวน5 แถว

การบำรุงรักษาแผงเซลล์แสงอาทิตย์และอายุการใช้งาน

- อายุการใช้งานเซลล์แสงอาทิตย์โดยทั่ไปยาวนานกว่า20ปีการบำรุงรักษาก็ง่ายเพียงแต่คอยดูแลว่ามีสิ่งสกปรกตกค้างบนแผง
เซลล์หรือไม่เช่นฝุ่นมูลนกใบไม้ถ้าพบว่ามีสิ่งสกปรกก็ใช้น้ำทำความสะอาดปีละ1–2ครั้งก็เพียงพอห้ามใช้น้ำยาพิเศษล้างหรือใช้
กระดาษทรายขัดผิวกระจกโดยเด็ดขาด เมื่อเวลาฝนตก น้ำฝนจะช่วยชำละล้างแผงเซลล์ได้ตามธรรมชาติ
- สำหรับในระบบที่มีการใช้แบตเตอรี่ชนิดใช้น้ำกลั่น (Lead Acid) ห้ามใช้ไฟฟ้าจนแบตเตอรี่หมดแต่ควรใช้ไฟฟ้าเพียงร้อยละ 30 – 40 และเริ่ประจุไฟฟ้าใหม่ให้เต็มก่อนการใช้ครั้งต่อไปและต้องคอยหมั่นเติมน้ำกลั่นและเช็ดทำความสะอาดขั้วของ
แบตเตอรี่
- ในกรณีที่มีการใช้อินเวอร์เตอร์ควรสังเกตว่ามีเสียงดังผิดปกติหรือเกิดความร้อนผิดปกติหรือไม่ถ้าพบความผิดปกติให้รีบตัด
ระบบไฟฟ้าออกจากอินเวอร์เตอร์และติดต่อบริษัทผู้ขาย เพื่อให้ตรวจหาสาเหตุและแก้ไขให้ใช้งานได้ต่อไป


ประเภทของ " เซลล์แสงอาทิตย์ "

1. เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกเดี่ยวซิลิกอน (Single Crystalline Silicon Solar Cell)และชนิดผลึกโพลีซิลิกอน (Polycrystalline Silicon Solar Cell)ประเทศไทยนำเข้าเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกเดี่ยวซิลิกอนมาใช้งานมากที่สุด ข้อดีเด่นคือ ใช้ธาตุซิลิกอนซึ่งมีมากที่สุดในโลกและมีราคาถูกเป็นวัตถุดิบ


2. เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดฟิล์มบางอะมอร์ฟัสซิลิกอน (Amorphous Silcon Solar Cell)ได้แก่ เซลล์แสงอาทิตย์ที่ใช้ในเครื่องคิดเลขซึ่งมีลักษณะสีม่วงน้ำตาล มีความบางเบา ราคาถูกผลิตให้เป็นพื้นที่เล็กไปจนถึงใหญ่หลายตารางเมตรได้ใช้ธาตุซิลิกอนเช่นกัน แต่เคลือบให้เป็นฟิล์มบางเพียง 0.5 ไมครอน หรือ 0.0005 มิลลิเมตรเท่านั้น


3. เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกแกลเลียมอาร์เซไนดิ (Gallium Arsenide Solar Cell) เป็นเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีประสิธิภาพสูงระดับร้อยละ 25 ขึ้นไปแต่มีราคาแพงมากไม่นิยมนำมาใช้งานบนพื้นโลก จึงใช้งานสำหรับดาวเทียมเป็นส่วนมาก


 -เซลล์แสงอาทิตย์เป็นแปล่งพลังงานทดแทนซึ่งสามารถเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ (หรือแสงจากหลอดแสงสว่าง)ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรงเซลล์แสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานทดแทนที่สะอาดและไม่สร้างมลภาวะขณะใช้งานไม่ทำลายสภาพแวดล้อมเพียง แต่ติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ไว้กลางแดดก็สามารถใช้งานได้ทันทีเซลล์แสงอาทิตย์ทำงานได้โดยไม่สร้างเสียงรบกวนหรือการเคลื่อน ไหวเนื่องจากเซลล์แสงอาทิตย์ทำงานโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์เท่านั้นจึงเป็นการประหยัดน้ำมันและอนุรักษ์พลังงานและสามารถผลติกระแสไฟฟ้าได้จากแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นพลังงานทีทมนุษย์ได้มาฟรีและมีไม่สิ้นสุดอายุการใช้งานของเซลล์แสงอาทิตย์ยาวนานกว่า 20 ปี ดังนั้นเมื่อลงทุนติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ในครั้งแรก ก็แทบจะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกต่อไป
- การใช้งานเซลล์แสงอาทิตย์ไม่มีความสลับซับซ้อนและไม่มีอันตราย ประชาชนทั่วไปสามารถหาซื้อและติดตั้งเพื่อใช้งานในครัวเรือนด้วยตนเอง การใช้งานเซลล์แสงอาทิตย์แบบง่ายๆอาจเริ่มจากการซื้ออุปกรณ์ชุดเซลล์แสงอาทิตย์สำเร็จรูปมาใช้งานเพื่อให้เกิดการคุ้นเคย เช่น ไฟส่องสนามพลังงานแสงอาทิตย์ ไฟส่องโรงจอดรถพลังงานแสงอาทิตย์ ชุดหลอดฟลูออเรสเซนต์พลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับการออกแบบระบบใหญ่ที่ติดตั้งบนหลังคาบ้าน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

บทสรุป
  แสงอาทิตย์เป็นพลังงานแห่งจักรวาล ต้นกำเนิดของพลวัตต่างๆ ที่ขับเคลื่อนโลกของเรา และป็นแหล่งพลังงานที่หล่อเลี้ยงทุกสรรพชีวิต บนดาวเคราะห์สีน้ำเงินใบนี้ น่าเสียดายที่เรายังไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างเพียงพอ ที่จะประยุกต์ใช้ขุมพลังงานอันบริสุทธิ์ และยิ่งใหญ่นี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแต่กลับเผาผลาญเชื้อเพลิงจากฟอสซิล ที่สะสมมานับเป็นล้านปีให้หมดไป ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วอายุคน และสิ่งเหล่านี้ก็ยากที่จะย้อนให้กลับคืนมาเหมือนเดิม ซึ่งผลที่ได้คือความสะดวกสบายและความเจริญก้าวหน้า แต่เราก็ต้องเผชิญกับความเสื่อมโทรม ของสภาวะแวดล้อมที่กำลังบั่นทอน ทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้

   หวังว่าผลสำเร็จที่ได้จากโครงการนี้ จะเป็นแรงผลักดันให้ประเทศไทย มีการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะช่วยชะลอการเผาไหม้เชื้อเพลิง เพื่อผลิตไฟฟ้าปีละประมาณ 1,200–1,500 ลิตร ได้อีกทางหนึ่ง และสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศ ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น อันจะก่อให้เกิดการแข่งขันด้านคุณภาพ และราคา ซึ่งจะส่งผลให้การใช้งาน ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณในอนาคต

    การเริ่มต้นร่วมมือกันในวันนี้คงยังไม่สาย หากเราจะกลับไปสู่พลังงานที่ให้กำเนิดชีวิต และมีให้ใช้อย่างเหลือเฟือ ซึ่งเป็นอีกหนทางหนึ่ง ที่จะช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนพลังงาน และช่วยทำให้ปัญหามลภาวะเป็นพิษ เบาบางลงไป อันหมายถึงคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดี ก็จะหวนกลับคืนมาสู่มวลมนุษย์และสรรพชีวิตบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินใบนี้ ดังบทเพลงที่ กฟผ. ได้สร้างสรรค์ให้กับเด็กๆ ได้ร้องขับขาน เพื่อเชิญชวนให้คนไทยทุกคน ร่วมมือกันใช้พลังงานที่สะอาด เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
เก็บแสง จากฟากฟ้า
เก็บไว้จากทานตะวัน
พรุ่งนี้จะดีกว่านี้
อุ่นใจ ใต้ผืนฟ้าไทย
เก็บมา ที่บ้านฉัน
เก็บวัน ที่เฉิดฉาย
อยากอยู่ตรงนี้ ใต้ฟ้าครามใส
ขอเพียงร่วมใจ คนไทยทุกคน
เอกสารอ้างอิง
1. ข้อเสนอโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน ของการไฟฟ้าฝายผลิตแห่งประเทศไทย ยื่นขอรับทุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. เอกสารเผยแพร่ ชุด สาระน่ารู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน "เซลล์แสงอาทิตย์" ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
3. การศึกษาแนวทางและหลักเกณฑ์ในการกำหนดนโยบายในการให้การสนับสนุนการใช้เซลล์แสงอาทิตย์ ของศูนย์วิจัยและฝึกอบรมพลังงานแสงอาทิตย์   มหาวิทยาลัยนเรศวร เสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
4. เอกสารเผยแพร่กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน "พลังงานจากแสงอาทิตย์"
5. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาต วารสารนโยบายพลังงาน ฉบับที่ 41 เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2541